เรื่องวิบากนี้ มันเป็นธรรมชาติ ของผลแห่งกรรม กรรมก็เป็นธรรมชาติ ที่ให้ผลอันหลากหลาย ตามรู้ยาก เป็นหนึ่งในห้าแห่งธรรมชาติ
>> ธรรมชาติตัวแรก คือ อุตุนิยาม เป็นธรรมชาติแห่งฟิสิกส์ รวมทุกเรื่อง ในจักรวาลนี้ เกี่ยวกับพลังงาน ความร้อนเย็น แสงสว่าง อากาศ
และอะไรอันหลากหลาย ที่ไม่มีวิญญาณครอง และมีวิญญาณครอง เราสามารถพิสูจน์ หาเหตุหาผลแบบเปลือกๆ พอเข้าใจได้ ไปจนถึงยากที่จะเข้าใจ
>> ธรรมชาติตัวที่สอง คือ พีชนิยาม เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ไล่ตั้งแต่ เซลล์ที่มีชีวิตไปจนเป็นสิ่
>> ธรรมชาติตัวที่สาม คือ จิตนิยาม เป็นธรรมชาติแห่งการปรุงแต่
มองเห็น ดมกลิ่น ลิ้มรส ได้ยิน สัมผัสด้วยกาย เป็นธรรมชาติอันหลากหลาย ที่เข้าถึงได้ยาก และหาอะไรมายืนยัน ไม่ได้
จึงเป็นเรื่องเร้นลับ และเข้าใจเฉพาะผู้มีปัญญาแห
>> ธรรมชาติตัวที่สี่ คือกรรมนิยาม เป็นธรรมชาติ แห่งการอาศัยการกระทบ ผัสสะ ทั้งที่มีเจตนา และไม่เจตนาแห่งการปรุงแต่ง
กรรมนิยามนี้ เป็นหลักเหตุหลักผล เมื่อมีเหตุ ผลอันเป็นวิบากก็พึงเกิด และวิบากนี้ ก็เป็นเหตุให้เกิดผล สืบๆ กันต่อไปอีก
ในกฏ อิทัปปัตจยตา ธรรมชาติแห่งกรรมนี้กว้าง ตามรู้ยาก มันมีกาลและช่องว่างให้วิบา
>> ธรรมชาติตัวที่ห้า ธรรมนิยาม เป็นธรรมชาติที่อาศัยเหตุแล
ทุกธรรมชาติ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั
ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติแห่ง ฟิสิกส์ ชีวะ จิต กรรม ต่างมีเหตุปัจจัยเป็นเครื่อ
นี่..มันเป็นธรรมดาของธรรมช
จิตนิยาม
กรรมนิยาม
ธรรมนิยาม
ส่วนอุตุนิยาม หรือฟิสิกส์ พีชนิยาม หรือชีวภาพ เป็นเรื่องที่มนุษย์ อาศัยเป็นกลไกในการเลี้ยงชี
และที่สำคัญ มันเป็นธรรมชาติที่ดำเนินมา
แต่ก็รวมไว้ ในนิยามทั้งห้า
พอดีคนงานนั่งเรือ มาถึงแล้ว เช้านี้ ขอพักสวัสดีก่อน ต้องไปชดใช้แผ่นดินอีกด้านห
หากนึกได้โอกาสหน้า จะมาขยายนิยามต่างๆ ให้ฟัง หวัดดีสำหรับเช้าอันสดใสและ
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ได้ดี…ต้องฝ่าความตาย ท่อนที่เจ็ด..!! ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง