มองเห็นสัจธรรม…….ท่อน 2

มองเห็นสัจธรรม…….ท่อน 2

820
0
แบ่งปัน

…อันชีวิต ลูกไก่ แม่ไก่ ที่โม้ไปเมื่อเช้า นี่..กำเนิดแห่งสัตว์ ทำให้ไหลไปตามการปรุงตามสัญชาติญาณได้ง่าย ผัสสะปุ๊บ ใจก็ไหลตาม มันยั้งใจไม่อยู่ 

ตอนให้ข้าวสวย ใจก็ตามข้าวสวย แต่กำลังแห่งความต้องการข้าวสวย ต้านทานกำลังแห่งการหวงไข่ไม่ได้ มันจึงละจากข้าวสวย หันกับมากกไข่แทน 

นี่…ที่จริง แม้ความเป็นสัตว์ มันก็ละก็ตัดได้ แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า ยึดมากกว่า เข้ามาเสริม มันอาศัยเหตุนอก ไม่ได้อาศัยเหตุใน เหตุนอกนี้ ล้วนเป็นสมุทัย ผลก็คือทุกข์ มีอุปาทานเป็นเครื่องยึด มีวัฏฏะเป็นเครื่องอยู่

มนุษย์เรา เมื่อเกิดผัสสะ ผู้ที่ขาดสติ มักจะตัดสินใจไปตามผล เรียกว่า กระโจนเข้าสู่กระแส ใจที่มีตัณหา ผุดขึ้นมาไม่รู้จบนี้ ด้วยคิดว่า ฉันมีสติแล้ว สติเช่นนี้ เป็นสติ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เมื่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เจริญตามมา ก็เป็นมิจฉา และเพราะความไม่รู้เป็นเหตุ เธอก็จะตะโกนกู่ร้องบอกว่า นี่คือ สัมมา มนุษย์ที่ไร้ปัญญา ไม่เข้าใจ การกระโจนเข้าสู่กระแสแห่งผัสสะ

หากขาดสติ ยับยั้งก่อนตัดสินใจ มันมักดำเนินมาทางฟากฝ่าย สมุทัยทั้งสิ้น แม่ไก่แจ้ รักลูก ห่วงลูก โลกบอกว่านี่ เป็นสิ่งที่ดี ที่ควร และน่าสรรเสริญ

แต่ทางธรรม ก็เห็นเช่นโลกว่า เพียงแต่ว่า เห็นลึกกว่า ว่าแม่ไก่ หลงไปในอำนาจของอุปาทาน อย่าง อาการนี้ เรียกว่าหลงไปในกระแส กระแสนี้มันไหลวน ให้สัตว์หลุดจากวังวนแห่งกระแสนี้ ไม่ได้เลย

เพราะมันเป็นกระแสแห่งจิตสังขาร ที่สืบเนื่องด้วย อวิชชา ภูมิแห่งสัตว์ เรียกว่า อบาย ผู้ที่อยู่ในอบาย จะขาดกำลังปัญญา ตรึกตรอง เพื่อทวนกระแส

เมื่อผัสสะ หากขาดเหตุปัจจัยมาเหนี่ยวรั้ง ใจก็จะไหลไปตามกระแส ใจที่ไหลไปตามกระแส ย่อมต้องจมลงไปในกระแส เพราะเหตุนี้ มนุษย์ผู้มีปัญญา ได้เห็นอุบายจิตนี้ชัด

ในวันที่นางสุชาดา ได้นำอาหารมาถวาย เมื่อได้ทรงเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงนำถาดและถ้วยชามที่ใส่อาหารมา เพื่อนำไปล้างคืนเจ้าของ

เบื้องหน้าคือแม่น้ำ เนรัญชรา อันไหลเชี่ยว เพราะเป็นฤดูคาบเกี่ยวกับกาลอันเป็นฝน ถาดเหล็กที่นิยมกันในสมัยนั้้น ได้หลุดจากมือลอยล่องไปตามกระแส

กระแสแห่งเนรัญชรา พาถาดเหล็กไหลล่องไปตามแรงแห่งกระแส ที่สุด….ถาดเหล็กใบนั้น ก็จมลง มันจมลงลึกหายไปในห้วงแห่งกระแส มันไม่ยอมไหลทวนหวลกลับมา คืนเจ้าของ

ผู้ที่ฝึกจิตมายาวนาน บารมีเต็มและแก่กล้า แม้อาการผัสสะแห่งกระแสนี้ ก็ย่อมมองเห็นความเป็น สัจธรรม มันเป็นอีกสัจธรรม ที่ได้ผัสสะ ตามความเป็นจริง

ดั่งครั้งหนึ่ง ที่มองเห็นว่า การทรมานกาย ไม่ใช่ทาง แห่งการพ้นทุกข์ ดั่งโลกเขาว่า และตนเองว่า เรียกว่า ใจมันเกิดการวาง ปรารภโลก และปรารภตนเอง

แต่กำลังแห่งปัญญา ยังหนุนเนื่องไม่พอ แม้เข้าถึงสัจธรรม แต่ก็เป็นสัจธรรม ที่ยังเอากำลังแห่งปัญญาเข้าไปบดให้ละเอียดไม่ได้

การที่ถาดลอยไปตามกระแสแห่งแม่น้ำเนรัญชรา บุรุษผู้ทรงปัญญา มองเห็นสัจจธรรม ที่เกื้อหนุน ปัญญา ให้เห็นช่องทางแห่งความเป็นจริง

พระพุทธองค์ทรงเห็นชัดแล้วว่า สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ไหลวนไปตามแรงแห่งกระแส สิ่งนั้น ย่อมจมหายไปในห้วงของกระแส

แต่หากสิ่งใด ที่มีกำลังทวนแรงแห่งกระแส ต้านแรงแห่งกระแส แม้ถาดใบนี้ หากมันมีกำลังไหลทวนกระแส ถาดใบนี้ จะไม่เป็นถาดที่จมลงในห้วงแห่งกระแสแน่นอน..!!

นี่คือเหตุแห่งการได้ทรง ตรัสรู้ แห่งพระสัมโพธิญาณ บุรุษเมื่อได้แนวอุบายแห่งจิต เมื่อถึงกาลอันสมควร ท่านย่อมทบทวนตามแนวแห่งอุบายจิตที่ได้ผัสสะ เกิดปัญญา ตรงต่อสัจธรรม

นี่..เป็นธรรมชาติของผู้แสวงหา พระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ว่าการไหลไปตามกระแส มนุษย์และสัตว์ ย่อมปรารภโลก และปรารภตนเอง มนุษย์ขาดการ ปรารภธรรม

พระพุทธองค์ทรงตรากตรำทรมานกาย ทิ้งทุกอย่างมาหาโมกข์ธรรม พระพุทธองค์ได้ทรงกระทำ การตามปรารภโลก เชื่อตามโลกเขาว่า ทำเช่นนั้น ทำเช่นนี้ นี่แหละดี

และพระพุทธองค์ ก็ได้ปรารภตนเอง โดยเห็นตามโลกว่า มันคงจะดีตามโลกเขาว่า อยู่เหมือนกัน 6 ปี พระพุทธองค์วนเวียนอยู่กับการ ปรารภโลก และปรารภตนเอง 6 ปี ที่เสียเวลาไปตามกระแสความเชี่ยวกราด แห่งการปรารภโลก และปรารภตนเอง

กระแสมันพาให้ไหลจมลงไปในห้วงแห่งทิฏฐิธรรม ไม่ต่างกันกับถาดเหล็กที่ไหลไปตามกระแส ที่สุด ถาดนั้น ก็จมลงไปในกระแส ให้เป็นสนิมกรัง นำมาใช้งานอะไรไม่ได้

ถาดที่ไหลจมลงไปตามกระแสที่ไร้แรงต้าน นี่…เป็นเพราะขาดการ ปรารภธรรม….!! อะไรคือการปรารภธรรม ปรารภธรรมก็คือ การตรึกตรองธรรม ที่ไหลไปตามกระแส และตรึกตรองธรรมทวนใจไม่ไหลไปตามกระแส เป็นผู้เห็นสัจธรรมทั้งสองฟาก

กระแสนี้ เป็นผลทำให้จมหาย การย้อนกระแส ย่อมต้องอาศัยกำลัง สาวผลแห่งกระแส มุ่งเข้าไปหาเหตุ พระพุทธองค์เจ้า เห็นแนวทางแห่งอุบายจิตที่เกิด พระพุทธองค์เจ้า เทหมดหน้าตัก ประกาศต่อฟ้าดินว่า

แม้เลือดจะเหือด เนื้อกายจะแห้ง กระดูกจะป่นเป็นผง เรา..ก็จะไม่ขอลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด ที่ทรงประกาศเช่นนี้ เป็นเพราะรู้แล้ว ว่าการปฏิบัติ เหลือแค่การปรารภธรรม

นั่นก็คือ การทวนกระแส สาวผลไปหาเหตุ นี่..เป็นหลักแห่งอริยสัจ ที่มนุษย์ผู้ทรงปัญญา มีดวงตามองเห็น ที่สุด..พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสรู้ธรรม เมื่อคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งอีกไม่กี่วันกี่ราตรีข้างหน้านี้ ที่จะเวียนมาถึง

ทำให้มีลูกหลานที่ดำเนินมาตามกระแสแห่งพระพุทธชินสีห์ท่าน มานั่งโม้ธรรมให้ฟังกันในเที่ยงวันนี้

วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นี้ เรามาร่วมใจระลึกถึงคุณ แห่งพระพุทธองค์ท่าน และขอทวนกระแส ตามทางแห่งธรรม ที่ได้ดำเนินมาตามแนวทางแห่งการ ปรารภธรรม ที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้..!!

เที่ยงนี้ สวัสดี เราพึงเว้นขาดจากการ ปรารภโลก และปรารภตนเองอีกต่อไป สวัสดี..!!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 25 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง