มองเห็นสัจธรรม…ภาคย่อย

มองเห็นสัจธรรม…ภาคย่อย

744
0
แบ่งปัน
…โหยยย…..เรื่องลอยถาดทองคำ แค่ท่อนนี้ เขาก็ถามกันมาแน่นตื๊บ ว่า ทำไมเป็นถาดเหล็ก ไม่เป็นถาดทองคำ ตามตำราว่า
เฮ่อออ….ธรรมข้านี้ เขาว่า ขวางโลก..เรื่องมันมีอยู่ว่า สมัยที่ไปอินเดียครั้งแรก ได้ไปมองเห็นเหล่านักบวช อันมากหลาย ท่านเหล่านั้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวสกปรก มอมแมม หนวดเครา รกรุงรัง ผ้าที่นำมาห่มกาย อาหารการกิน ความเป็นอยู่ นักบวช อยู่ตามอัตถภาพ ที่เรียกตนเองได้ว่า ยาจก หรือขอทาน
พระพุทธองค์ท่าน เป็นกษัตริย์ ผิวพรรณ ก็ย่อมเป็นกษัตริย์ เสื้อผ้า อาหาร ความเรียบร้อยแห่งเรือนกาย ก็ต้องเป็นอย่างกษัตริย์ แต่เมื่อออกจากความเป็นกษัตริย์ มาอาศัยเป็นอยู่อย่างยาจก รูปทรง เครื่องนุ่งห่ม ผมเผ้า

แม้แต่อาหารการกิน ก็อยู่ในวิสัย ไม่เกินยาจก นี่คือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่เรียกว่า นักบวช นี่..เรามองตามความเป็นจริงกันอย่างนี้ในอินเดีย อุปนิสัยของชนทั้งหลาย หรือแม้แต่คนทั้งโลก มีไหม ที่จะเอาถาดเอาถ้วยทองคำ มาใส่อาหารให้กับยาจก ที่เป็นนักบวชกิน แม้ความเป็นพระราชา ท่านยังใช้โลหะอื่นมาทดแทน ยิ่งเป็นคนอินเดีย ยิ่งแล้วใหญ่ แร่ที่อินเดีย ที่มีมากมาแต่โบราณเลย คือ…แร่เหล็กสมัยก่อน เขานำมาผสมเนื้อแร่เป็นโลหะต่างๆ เป็นดาบเป็นหอก และนำมาเป็นตีแผ่เป็นของใช้ครัวเรือน ตรงนี้ จึงมองไม่เห็นว่า นางสุชาดาจะนำเอาอาหารมาใส่ถาดทองคำ มาถวาย แล้วทิ้งถาดทองคำไป ให้กับนักบวช ที่ตนเองยังไม่เคยคุ้นเคยและศรัทธามันเป็นการฝืนวิสัยธรรมชาติ ที่ยึดมั่น  จึงดูว่ามันแย้งกันกับความหวงแหน ในสิ่งมีค่า ตามธรรมดา ของผู้คนบนโลก นี่ว่ากันตามเหตุตามปัจจัยเรื่องนี้ พวกนอกศาสนาเขาเคยถาม เขาถามว่า พุทธเรา อะไรๆ ก็แต่งปั้นเรื่องให้มันยิ่งใหญ่ๆ ไว้ก่อน เพื่อความศรัทธา แก่ผู้รับฟังแต่มันเป็นเรื่องตลกของผู้เห็น ความเป็นจริงในปัจจุบัน ที่วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้ ว่าบางเรื่อง มันพอกแต่งขึ้นมา อย่างหนาทึบ เป็นไปไม่ได้ ในความเป็นจริง ทั้งๆ ที่เป็นศาสนา แห่งปัญญา พุทธเราชี้ให้ละ แต่พระสงฆ์ ต่างชี้ให้สะสมพระพุทธองค์ สละจากความเป็นพระราชา มาเป็นยาจก แต่สงฆ์แห่งสังฆา กลับออกจากยาจกไปเป็นราชาแทน บวชมาแล้วเป็นราชา ทุกคนต้องนอบน้อมและเชื่อฟัง เหล่าสาวก พากันสะสม แต่องค์ศาสดา สละออก ธรรมมันคนละขั้ว แล้วจะเข้าไปถึงทางแห่งธรรมตามปากชี้ ได้ยังไง

สาวกชี้สอน การสะสมบุญ สะสมธรรม องค์ศาสดาชี้ ปล่อยวาง และปฏิบัติเพื่อ นิพพานในอัตภาพนี้ สาวกหวังชาติอนาคต องค์ศาสดาชี้ จบพรหมจรรย์ในอัตภาพนี้ ธรรมที่ชี้สอนมาในปัจจุบัน มันจึงทวนๆ  กัน

เมื่อมีบุรุษ มองเห็นตามความเป็นจริงเข้า บุรุษนั้น เป็นตัวจัญไรที่ขวางโลกเขาแล้ว เพราะไม่ว่ากัน ตามตำรา ตำรามันเป็นเครื่องชี้ ผู้มีปัญญา ก็ต้องสอดส่องลงไปในตำราซิ... จะไปเชื่อโดยไม่มีวินิจฉัยได้อย่างไร

 

ธรรมะ คือธรรมชาติ ที่แสดงตัวให้เราเห็น เรารู้บ้างไหม ธรรมะคือ ธรรมดาในสรรพสิ่ง แห่งธรรมชาติ ที่มันเป็นของมัน เช่นนั้นเอง เรารู้บ้างไหม เป็นแต่ใจเจ้าของนี่แหละ ปรุงไปตามวิสัย สันดานสมมุติจิต ใจเจ้าของฟิตไปทางไหน ใจมันก็มุ่งไปทางนั้น

 

ฟิตมาทางธรรม มันก็ได้ธรรม รู้ธรรม ฟิตมาทางกิเลส มันก็ได้กิเลส ไหลตามกิเลส ทั้งหมดใดๆ ในโลกนี้ ที่เป็นอย่างนั้น ที่เป็นอย่างนี้ เกิดจากใจเจ้าของทั้งนั้น เจ้าของบันทึกมาอย่างไร ใจก็ยึดไปตามบันทึกนั้น ไม่ถอดถอน นี่แหละ ที่ท่านชี้ว่า เป็นอุปาทาน

อุปาทานก็คือการยึดมั่นถือมั่น ในอาการวิสัย ที่ใจมันยึดจากการที่มันได้ผัสสะ อาศัยการผัสสะเป็นเหตุ ให้ก่อเกิดต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้

 

นางสุชาดา จะถวายด้วยถาดทอง หรือถาดเหล็ก มันเป็นแค่สมมุติแนวทาง ยังไงเราก็เกิดไม่ทัน ที่จะไปยืนยันด้วยอายตนะแห่งเรา ว่าใช่หรือไม่ใช่

จะใช่หรือไม่ใช่ แค่แสดงให้เห็น เพื่อแทงกลับมาย้อนดูใจตน ว่าแค่เปลี่ยนจากถาดทองคำ ที่ไม่รู้จริงหรือไม่ มาเป็นถาดเหล็ก พวกท่านแม่ประคุณรุนช่อง ก็พากันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวว่าไม่จริงๆๆๆๆๆ เออ.ๆๆๆๆๆ ถาดทองก็ถาดทอง ถาดเขาจมไปตั้ง สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว

นี่..พวกเรายังถือไม่ยอมวางกันอีก ไม่หนักกันมั่งรึจ๊ะ แม่คุณเอ๋ย อันว่าถาดเหล็กนี้ ก็สมมุติขึ้นมา แหม..ถาดเหล็กมันไม่มีค่า ถาดทองดีกว่า จะได้สมพระเกียรติ์ โอเค…ถาดทองก็ถาดทอง หากใครเชื่อว่าถาดเหล็ก นี่พวกโง่หลาย… หวัดดีครับ ท่านทั้งหลาย ที่มั่นคงต่อตำรา

เที่ยงนี้ขอ สวัสดี..!!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง มองเห็นสัจธรรม…ท่อนที่ 2 ณ วันที่ 27 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง