<< พระอาจารย์ : เอ้า……..จ๋อๆๆๆๆๆ วันนี้ โม้ไรดี มหานรกทั้งแปด ก็โม้จบไปแล้ว เอานรกขุมที่แปลกประหลาด ๆ หน่อยก็แล้วกัน
>> ลูกศิษย์ : สวรรค์ค่ะ เอาเรื่องสวรรค์บ้าง
<< พระอาจารย์ : เอ๊ย…สวรรค์ มันหนุกหนาน เอานรกก่อนดี้ เขานิยมกัน ไปทำพ่อแกเหรอ สะหวันนน ข้าไม่ชี้โว๊ย มันต้องหนีนรกกันก่อน และก็ไม่ไป สะหวันนน ของแกด้วย
เรามาว่ากันถึงอบายภูมิ ที่แปลกประหลาด และมีคนไปกันเยอะมาก จะจัดว่าเป็นนรก มันก็จัดไม่ได้หรอก หากจะว่าไป เพราะมันแยกแตกต่างไปจากนรกขุมอื่นๆ ทั้ง 456 ขุม
เพราะมันเป็นภูมิ ที่เป็นโลกของสัตว์ ประเภทหนึ่ง เพราะที่นี่ ไม่มีนายนิรบาล มาคอยควบคุม สัตว์ทุกตัวที่ต้องมาเสวยกรรมในภูมินี้ ต่างต้องอยู่กับความมืดมิดและหนาวเหน็บ อยู่ตลอดเวลา มันอยู่แบบทำลายกันเอง กัดกิน กันเอง และหนาวเหน็บอยู่ตลอดเวลา
หากใครที่ได้ฤทธิ์ทางใจ กำหนดจิตเข้าไปดู จะเห็นว่า มันเป็นความว่างเปล่า แห่งความมืดมิด ที่ไม่มีแสงสะท้อน แวววาว อะไรออกมาให้พอเห็นจับเป็นรูปได้เลย
มันกว้างและไร้ขอบแดน มันเป็นความว่าง ที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง 3 ภูมิ สัตว์นรกขุมนี้ หากเรากำหนดจิต เพ่งเข้าไป อาศัยจิต เป็นเครื่องสอดส่ง ในความมืดมิดนั้น เราจะเห็นเป็นอุโมงค์ ที่ใหญ่โต
เราจะเรียกว่าอุโมงค์ ก็ไม่ได้อีก เพราะมันกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขต มันเป็นผนังหินที่เย็นเฉียบ โผล่ขึ้นมา ท่ามกลาง ความมืดมิดนั้น
ผนังนั้น ไร้ขอบเขต ว่ามันสูงไปจบอยู่ที่ ใด และมันยาวลึกเข้าไปถึงไหน แต่ตามผนัง อันเย็นเฉียบนั้น มันมีตัวประหลาด ใหญ่เบ้อเร้อ ใหญ่ว่าไดโดเสาร์ ที่เราว่าใหญ่ ไม่รู้จะกี่เท่า
สัตว์พวกนี้แหละมั้ง ที่เราเรียกกันว่า ซาตาน มันมีหูที่แหลมชี้โด่ หน้าตาเหมือนค้างคาวก็มี เหมือน ตัวอายีน่า ก็มี แบบอสูรกายที่น่าเกลียดน่ากลัวก็มี
หน้าตาของแต่ละตัว ก็คงแยกแตกต่างไปตามวิบากแห่งกรรม แขนขายาว บางตัวมีพังผืด ติดเหมือนค้างคาว บางตัวก็ไม่มี บางตัว เป็นเหมือนโครงกระดูก คือมีแต่หนังหุ้ม บางตัวก็อ้วนใหญ่ ไม่แน่นอน
ตามผนังที่ไร้อาณาเขตนั้น สัตว์เหล่านี้ พากันใต่ เต็มผนัง ยั๊วเยี๊ยไปหมด บางตัวก็ห้อยหัวใช้เท้าเกี่ยวผนังไว้ อยู่นิ่งๆอย่างนั้น
บางตัวก็เพ่นพ่านงุ่นง่าน เกาะเกี่ยวไปตามผนังถ้า ควาญมือ หากินไปทั่ว ตัวสั่น กึ๊กๆๆๆ ด้วยความเย็นจัด สัตว์พวกนี้ ไม่มีตา มันมีแต่หนัง ที่หุ้มปิดกระโหลก แต่มีปากที่ใหญ่และเขี้ยว ที่แหลมคม
บางตัวก็ควาญหาอาหารไปตามผนังถ้า ด้วยมือที่มีเล็บ ยาวและคม ใช้สำหรับเกี่ยว และกระชาก หากควาญไปเจออะไรที่กระดุกกระดิกได้
พอกระทบว่า มีสิ่งที่กระดุกกระดิกได้แค่นั้นแหละ มันจะใช้อีกมือ เกี่ยวและกระชากเป็นพัลวัน เลยทีเดียว สิ่งที่มันเกี่ยวและกระชาก ก็ไม่ใช่ใคร มันเป็นสัตว์นรกด้วยกันนั่นแหละ
มันเกี่ยวได้มันก็เข้าขย้ำ ทั้งกัดทั้งทึ้ง ทั้งกระชาก และมันกินอย่างมูมมาม มันเขมือบ ทั้งๆ ที่ยังเป็นชิ้นใหญ่ๆ มันกัด กระชากแล้วงับ ตวัดทีเดียว แขนเอย ขาเอย หัวเอย ฉีกขาดทันที
อะไรที่หลุด ฉีกติดเล็บมา มันจะคว้าเอาเข้าปากกลืนลงคออย่างสัตว์ที่หิวโหนมาเป็นเวลานาน มันเคี้ยวไม่เป็น ไอ้ตัวที่ไม่ทันระวัง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว แค่พริบตาเดียว แขนเอยขาเอย หัวเอย หายไปแล้ว
มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวล เจ็บแสนเจ็บ แถมหนาวเหน็บขยับตัวแทบไม่ออก ชิ้นส่วนที่โดนเขมือบ เมื่อโดนทำลายไป ชิ้นใหม่ ก็งอกขึ้นมาแทน
ยังงอกไม่ทันจบ มันก็โดนกระชาก ไปกินต่อ ซวยชิบหาย หากไอ้ตัวใด วิบากให้ผลเป็นเช่นนี้ ไอ้ตัวที่กิน มันก็ไม่ค่อยรู้จักอิ่มกินอยู่ดีๆ ไอ้บ้าตัวอื่น ก็งุนง่านๆ มาเจอมัน มันก็โดนตะครุบไปกินอีกเหมือนกัน
มันต้องอาศัยการกิน เพื่อให้กายสู้กับความหนาวเหน็บ ที่เย็นสะท้านเข้าไปในกระดูก อยู่ตลอดเวลา
ดูแล้ว สัตว์เหล่านี้ มันน่าอนาถแท้ หากเกิดตั้งหลักได้ เกิดการต่อสู้กัน เล็บอันใหญ่โตและแหลมคม ต่างก็กระชากเนื้อ กระชากหัวกระชากตัว ให้ปลิวว่อน ไปทั่วผนังกำแพงถ้ำ
ขาก็เกี่ยวผนัง มือก็กระชากคู่ต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างเป็นเหยื่อ ด้วยกันทั้งคู่ สู้กันไปสู้กันมา หล่นจากผนังที่เกาะเกี่ยว ต่างก็ลอยละลิ่วลงสู่ ความมืดอันเย็นเฉียบเบื้องล่าง
ตัวใหญ่โต ของเหล่าสัตว์ นรกในขุมภูมินี้ มันหล่นหาย วูบไปจากที่ๆ มันไต่ มันเกาะอยู่ หากมองเห็นในความมืดมิดนั้น จะเห็นว่า มันหล่นหายลิ่วลงไป อย่างกับผงธุลี ที่ปลิวหายมะลายไปกับสายลม มันลึกมากๆเหมือนตกลงมาจากขอบจักรวาล
เบื้องล่างที่สัตว์เหล่านี้ ตกลงไปถึง มันเป็นน้ำกรด ที่เย็นเฉียบ กรดเหล่านี้ จะซึมซาบ สลายเนื้อและกระดูก มีสภาพ เหมือนเราเอาขี้โยนลงน้ำ แล้วมันยุ่ย แตกสลายแผ่ออกไปเป็นฟองอากาศเสียงปุดๆๆๆๆ
เดี๋ยวตรงนู่นตูม ตรงนี้ตูม เสียงตูมตามของสัตว์ที่หล่นลงมาจากผนัง มีอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยขาดหายไปจาก นรกขุมนี้เลย
เมื่อกายโดนกรดที่เย็นเฉียบ สลายไป เพียงแค่ชั่วครู่เดียว วิบากก็จะรวมร่างกลายเป็นกายใหม่ ที่มีรูปร่างใหญ่ และแปลกไปกว่าเดิม
พอกายมีรูปร่างสมบรูณ์ บางตัวก็ยังไม่ทันสมบรูณ์ดี ก็โดนตัวอื่น พบและคว้ามากินเสียแล้ว เนื้อก็งอกไม่ทันอีก ซวยหลายต่อ
ส่วนตัวที่รอด ก็ต้องรีบตะกาย หนีอายความเย็นและแสบกัดผิวกัดเนื้อ ไต่หนีขึ้นไปยังที่สูงๆ วงจรแห่งชีวิตของสัตว์นรกขุมนี้ เป็นกันอย่างนี้ อยู่กันนาน ตลอด พุทธันดร
ก็หมายความว่า อยู่นาน จนกว่า จะสิ้นกาลแห่งพระพุทธเจ้า องค์ที่ตน ได้ตายจากไป ในขณะที่มีพระธรรมอยู่ จนสิ้นอัตธานไปหมด
แม้แต่ พระบรมสารีริกธาตุ ที่เสด็จอยู่ในแต่ละที่ ก็สลายหายไปหมด อยู่กันนานขนาดนั้น ตามแต่วิบากที่สร้างสมมา ที่จะต้องโดนจองจำ อยู่ในขุมนี้ เรื่องการอัตธานแห่งพุทธนี้ หากนำมาขยาย ก็ยาวอีก
สัตว์ที่อยู่ในโลกันต์นรกนี้ มันคล้ายๆ เป็นต้นกำเนิด ระหว่างเปรตกับอสูรกาย มันไม่หนักแบบมหานรก ที่ต้องโดนทุบตี จากเหล่านายนิรบาล จนเนื้อตัวฉีกขาด และความเร่าร้อน แห่งเปลวเพลิง
กายต้องรับวิบากกรรมที่ไม่มีทางต่อสู้ หนี้ด้วยความทุรนทุรายแต่เพียงอย่างเดียวยิ่งอเวจีนี้ ยิ่งไม่ได้กระดุกกระดิกเลย ทนแน่นตรึงด้วยหอกดาบที่พุ่งเสียบคา โดนปิ้งด้วยเพลิงนรกอยู่อย่างนั้น
แต่ขุมนี้ เผชิญกับความหนาวเหน็บ และกระหายเลือดเนื้อ จากเหล่าสัตว์นรกด้วยกัน อยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครมาคอยแทง คอยทุบตี มีแต่พวกเขา ที่มีแต่ความเย็นและหิว กระชากกินกันเอง
เอาละ…พรุ่งนี้ ค่อยมาโม้ต่อว่า เพราะทำกรรมอะไร เราจึงต้องมาเสวยทุกข์ อยู่ในนรกขุมนี้ วันนี้ ทั้งยุง ทั้งมืดมิด และอ่อนเพลีย แต่ก็ฝืนโม้มา คืนนี้ ขอลา สวัสดี..
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 20 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง