จริงหรือแค่นึกถึงพระก่อนตายไปไปสวรรค์

จริงหรือแค่นึกถึงพระก่อนตายไปไปสวรรค์

489
0
แบ่งปัน

**** “จริงหรือแค่นึกถึงพระก่อนตายไปไปสวรรค์” ****

<< พระอาจารย์ : คนส่วนมากเข้าใจว่า ก่อนตาย ให้มีสติ นึกถึงแต่สิ่งดีๆ จะได้ไปดี

นี่…เข้าใจถูกแค่หน่อยเดียว แต่ผิดมากโข รู้ไหม..

>> ลูกศิษย์ : พระอาจารย์ ค่ะ ไม่เข้าใจค่ะ ที่เข้าใจมาคือว่า

ขณะจิตสุดท้ายที่มีสติระลึกถึงความดีก่อนหมดลมสุดท้าย จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าจะไปอยู่ภพหรือภูมิไหน

แต่ที่ พอจ. กล่าวว่า เข้าใจถูกแค่หน่อยเดียว แต่ผิดมากโข… เมตตาอธิบายหน่อยค่ะ

<< พระอาจารย์ : ขอมาตอบเช้าวันนี้ละกัน..ลักษ์

การมีสติ ก่อนตาย นั้น เราพูดกันในแง่เดียว และเราก็คิดว่า หากเรานึกถึงบุญ เราก็จะไปสวรรค์ ด้วยการมีสตินั้น

นั่น..ยังไม่แน่ อาการนั้น ยังไม่แน่เอามากๆ

เพราะมันขึ้นกับเหตุปัจจัย อีกหลายอย่าง

ที่พูดๆ กันนั้น บางครั้งก็พูดไปเรื่อย

ไปอ่านไปฟังมา แล้วคิดเอาว่า

เรามาลองคิดดูง่ายๆ ว่า

แค่เราไม่ได้ดังใจ ขณะที่ยังมีความสมบรูณ์ พร้อมมูลด้วยสติ

เรายังอึดอัดขัดข้อง กันง่ายๆ รับไม่ได้ กับความไม่ได้ดังใจนั้น

การไม่ได้ดั่งใจ ก็คือ การพราก จากสิ่งที่ต้องการให้ได้ดั่งใจ

แค่ เป็นบางสิ่งบางอย่าง เรายังทุรนทุราย ไปกับมัน ทนกับมันไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะ เรื่องครอบครัว

เมื่อความตายมาถึง เราจะมาคิดว่า หากเรามีสติ คิดดีๆ คิดถึงกุศล คิดถึงบุญไว้ก่อน เราก็จะไปดี

นี่..เป็นความคิดที่ถูก แต่ก็โง่มากๆ หากคิดกันเช่นนั้น

ที่โง่มากๆ เพราะมันไม่เป็นความจริง เพราะนี่ เป็นเรื่องจิตที่ละเอียดอ่อน

พูดอย่างคนไม่เข้าใจและรู้จัก ลักษณะของจิต เอาตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของจิต

ที่สำคัญ พูดแบบรวบยอดด้วยการตรึกเอา

เคยเจอ วิญญาณที่จมน้ำตาย แม้ตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ไปเกิดที่ไหน

ขณะจมน้ำ ใจจะเกิดอาการ ทุรนทุราย ตะเกียกตะกาย เพื่อเอาชีวิตให้รอด สติมันระลึกได้แค่นั้น

ตายแล้ว ที่สุด..ก็มาทางมืด

วิญญาณที่นอนป่วย อีกราย นอนป่วย มาเป็นเดือนๆ ญาติ มาเตือนสติทุกวัน ให้นึกถึงพระ แกก็นึกถึงพระ

ตอนแกตาย แกก็ไปมืด เช่นกัน แม้แกจะนึกถึงพระ

และยังมีอีกหลายราย ที่เป็นเช่นนี้ และอีกหลายราย ที่ไปสว่าง

เหตุที่ไปมืด ทั้งๆ ที่มีสติ ก็เพราะ ตัวตน แค่ระลึกได้อย่างเดียว

แต่ใจ มันไม่ไปด้วย มันไม่อยากพราก ไม่อยากตาย และเราบังคับมันไม่ได้ ซะด้วย

นี่ เพราะ ไม่ได้อบรมจิต ขณะที่มีกำลัง เป็นเหตุ

ขาดปัญญา พิจารณาถึงความพราก การจาก ความตาย ที่ต้องเผชิญ เป็นเหตุ

ใจที่ไม่ได้รับการอบรม ขณะที่ยังมีกำลังกาย กำลังใจอยู่

มันจะขาดกำลังแห่งการยอมรับ การพลัดพราก ใจมันไม่เคยชิน รับไม่ได้

เมื่อเวลานั้นมาถึง คนที่ไม่ได้รับการอบรมจิต มีชีวิต อยู่อย่างประมาท

เมื่อถึงเวลา ไม่ว่ามีสติสมบรูณ์แค่ไหน ระลึกถึงบุญถึงพระยังไง ก็มักไปมืด

เพราะใจมันไม่ไปด้วย ที่ระลึกนึกถึง มันเป็นเพียงแค่ความคิด

ความคิดนี่ มันหยาบกว่าอารมณ์ เราคิดว่าจะไม่เกลียดคนที่ทำร้ายเรา แต่มันก็เกลียด

ตอนยังไม่ถึงเวลา พูดยังไงก็ได้ ขนาดมีสติ พร้อมมูลอยู่

โดนกระทบเข้าหน่อย ยังจะเป็นจะตาย โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยอมใครไม่ได้ กูถูกอย่างเดียว

ไอ้ตอนที่ต้องพราก จากทุกสิ่งทุกอย่าง โดยความตาย มันจะยิ่งรับไม่ได้

นี่คือความจริงแห่งสภาวะจิต เหมือนกับคนมีหนอนไต่มือ

เราจะพยายามไม่คิดว่า หนอนมันกำลังไต่ตัวเราอยู่ โดยการระลึกนึกถึงพระ นึกถึงบุญ

เราจะไม่นึกถึงหนอนที่มันกำลังไต่เรื่อย ขึ้นมาที่หน้า

เราเกลียดหนอน หรือสัตว์ บางชนิดยังไง ความตายที่มันไต่ขึ้นมา หาเรา

มันยิ่งกว่าหนอนที่มัน ไต่ตัวเรา เป็นล้านๆ เท่า

ยิ่งคนเกลียดหนอน ยิ่งทนไม่ได้ แม้เสี้ยววินาที ที่จะทนอยู่กับ ภาวะนี้

ทั้งๆ ที่ มันก็แค่หนอน มันไต่เพราะมันไม่รู้ แต่เจ้าตัวเป็นผู้รู้

มันจะทนไม่ได้กับการโดนหนอนไต่ หนอน มันไม่ได้ทำร้ายอะไร

แต่เจ้าตัว มีสติระลึกได้ ว่านี่คือหนอน หนอนที่น่า สะอิดสะเอียน

มันย่อมทนไม่ได้กับหนอน ที่กำลังไต่ตัว

ความตายก็เหมือนกัน เวลามันคืบคลานเข้ามา มันจะไล่ตายขึ้นมา ตั้งแต่ปลายขาโน่น

ภาวะนั้น เมื่อมีสติรู้ว่าต้องตาย ใจมันจะทุรนทุราย ยอมรับไม่ได้ เพราะมันต้องพราก จากทุกๆ สิ่งที่มันยึด

หากความตาย เปลี่ยนเป็นหนอนไต่แทน ต่อให้เป็นหนอน ล้านๆ ตัว มันก็ยอมแลก

ยอมแลกกับความสะอิดสะเอียน กับความที่ไม่ต้องตาย

นี่…จิตมันมีลักษณะเช่นนี้

สำหรับจิตที่ ไม่ได้มีการได้รับการฝึกอบรมจิต จนเกิดความเคยชิน ขณะยังมีกำลังและชีวิตอยู่

ตอนใกล้ตาย ต่อให้เอาพระ มาวางแนบอก เอาปากจ่อหู ให้ท่องพุทธโธ

หากใจเจ้าตัว ไม่ยอมรับการพราก ยอมรับความตาย สิ่งเหล่านี้… ไม่มีผล

เราทดสอบผลแห่งจิตเราได้ ขณะที่มีกำลัง และชีวิตยังทรงอยู่

เราจะได้รู้ว่า ผลของจิตเรา แท้จริงแล้ว มันยังยอมรับอะไรไม่ได้เลย

คนที่มีสติยามใกล้ตาย มันจะเอาสติไปคิดนั้น คิดนี่ ที่มันยึด

ลูกเอย ครอบครัวเอย ทรัพย์สินเอย อะไรต่ออะไรเอย มันระลึกเต็มไปหมด

มันจรดจ่อพร้อมมูล อยู่กับ กระแสบุญไม่ได้ นึกได้ แต่ใจมันไม่เป็น สมาธิ ในสิ่งที่มันระลึก

เพราะมันขาดการ ฝึกสมาธิจิต ขาดปัญญา และขาดการมีสมาธิ ในการ พิจารณา

ยอมรับกับสิ่งที่จำต้องเผชิญ และสิ่งที่ต้องเกิดไม่ได้

นึกถึงพระ นึกถึงบุญแค่ไหน ก่อนตาย ใจมันก็ไม่ไป

เหมือนเรานั่งสมาธิ แค่ให้เรานั่งจรดจ่อ กับคำบริกรรม หรือลมหายใจ

เรายังครอง สติกันไม่ค่อยจะได้ มันยังพล่าน และซ่านไปทั่ว

ผลมันก็แสดงอยู่ นี่ขนาดมั่นคง และตั้งใจ ไม่มีอะไรมาบั่นทอน กำลังใจ เรายังทำ ยังทนไม่ได้

หากเป็นความตาย หรือการที่ต้องพรากจากทุกสิ่ง

มันยิ่งเจ็บปวด มันเจ็บปวดยิ่งกว่ากายเจ็บปวดอีกเชียวละ พี่น้องเอ๋ย

กับการโดนพราก ในสิ่งที่ยึด เช่นลูก และครอบครัว

แต่นั้น ไม่ร้ายเท่า การโดนพราก จากรูปอันเป็นที่รักของเรา

เพราะที่ยึดทุกอย่าง ก็เพราะเพื่อรูป อันเป็นที่รัก และอาศัยอยู่นี้

ส่วนท่านที่ ใกล้ตายแล้วมีสติ ระลึกถึงความดี แล้วไปสว่าง

นี่..เป็นเพราะ ใจมันได้รับการอบรม ให้ใจมันเกิดการยอมรับ

ว่า สรรพสิ่ง ล้วน ไม่ได้ ดั่งใจ ไม่มีอะไรแน่นอน มันเป็นของมันเช่นนี้ ยอมรับมัน..

ใจที่ยอมรับ ฝึกหัดการยอมรับ ตั้งแต่ยังมีกำลัง

ทำบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ โดยการสละออก และนึกถึงการสละนั้นบ่อยๆ

นี่..เป็นผู้มีความฉลาด ในการอบรมจิต โดยไม่รู้ตัว

ท่านถึงบอกให้ เริ่มที่ ทำบุญบ่อยๆ เป็นการสร้างทานให้เกิด กับจิต

จิตที่มีทาน ย่อม มีศีลขึ้นมาในใจ

จิตที่มีศีล ย่อมเป็นจิต ที่ยอมรับ ในการออกจาก กาม

จิตที่ยอมรับ ย่อมเป็นจิตที่ได้อบรม

จนเป็นจิตที่มี ปัญญา

จิตที่มีปัญญา ย่อมมีความเพียร

จิตที่มีความเพียร ย่อมมี ขันติ อดกลั้น

จิตที่มีขันติอดกลั้น ย่อมเป็นจิตที่มีสัจจะ

จิตที่มีสัจจะ ยอมสำเร็จดังการอธิฐาน

จิตที่สำเร็จการอธิฐาน ย่อม มีเมตตาจิต

จิตที่มีเมตตา ย่อมวางอุเบกขา กับภาวะที่ต้องเผชิญ

นี่..เป็นกำลังแห่งจิต มันเดินมาร่องนี้ เรียกว่า บารมี ทั้ง 10 ทัศน์

บารมี ก็คือกำลังใจ และใจก็คือ อาการของจิต

ผู้ที่ได้รับการอบรม ทางจิตอยู่เนือง จนเกิดความเคยชิน

กายจะแตกจะตาย จะมีสติ หรือไม่มีสติ ความเคยชินแห่งจิตนั้น จะเป็นตัวนำจิตท่านไป มันไปเพราะมันเคยชินของมัน

แม้ไม่พึ่งสติ ไม่มีสติ เพราะวิบากของแต่ละคน มันไม่แน่ไม่นอน มันก็ไปสว่าง ไม่ไปมืด

เพราะใจมันฝึกจนสว่าง ตั้งแต่ กายมันยังไม่เจ๊ง มันชินของมัน

อย่างพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้น โสดาบันขึ้นไป จะตายตอนไหน จะมีสติ หรือไม่มีสติ ซึ่งมันไม่แน่นอน ตามวิบากกรรม

กายแตกปั๊บ ท่านก็ไปสว่าง คนที่จะไปเป็นเทวดา ใจมันก็เป็นเทวดา จนเคยชิน ตั้งแต่ยังไม่ตาย

คนที่ใจเป็นสัตว์ นรก หรือเปรต หรือ อสูรกาย

มันก็เป็นใจที่เป็นกัน ตั้งแต่ยังไม่ตายเช่นกัน กายไม่เกี่ยว

ใจที่มันเป็นสัตว์นรก ก่อนตาย จะมีสติระลึกนึกถึงพระ ยังไง มันก็พุ่งไป ยังนรก

เพราะมันเคยชิน และมีทิศทางไปเช่นนั้น

สัตว์นรกหลายท่าน นึกถึงบุญ และความดี ที่สมองพอจำได้ แต่..ก็ยังลงนรก

เพราะสติ มันฝืนวิบากผลไม่ได้

สติ มันเป็นแค่ความคิด ระลึกได้ แต่ความเคยชิน และปัญญา มีไม่พอ

ให้ดูผลแห่งปัจจุบัน ที่มันแสดงออกอยู่

คนมีปัญญาพอ ก็จะรู้ ว่าชาตินี้ กายแตก ตัวกรู จะพุ่งไปสู่ ที่ใด

หากไม่รู้.. โอกาศเป็นสัตว์ ก็สูง เพราะยึดเป็นเหตุ

หาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของๆ เรา ด้วยความโลภ โอกาศเป็นเปรต ก็สูง เพราะยึดโลภเป็นเหตุ

หาก ขี้กลัว ขี้ระแวง มีแต่อารมณ์ ฉุนเฉียว ยามไม่ได้ดังใจ และที่ได้ดั่งใจ

โอกาศเป็น อสูรกาย ก็มีสูง เพราะยึดอารมณ์ โทสะเป็นเหตุ

หากยึดนั่นยึดนี่ ในวัตถุ บุคคล อันเป็นที่รักที่หวงมากเกิน

โอกาสไปเกิดเป็นสัตว์ ก็มีสูง เพราะอารมณ์ยึดด้วยความหลงเป็นเหตุ

ย้อมใจเราบ่อยๆ ให้ใจเราเป็นกุศลเพื่อนเอ๋ย

อย่าพยายามไปเพ่งโทษใคร ยิ่งผู้ทรงคุณที่สละออกเพื่อแผ่นดิน

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของศาสนาไหน ถ้าเขาเป็นคนดี เป็นผู้ทรงคุณจริง

กรรมมันส่งผลวิบากแรง

แต่หากไม่ใช่ผู้ทรงคุณ เป็นแค่ผู้ลวงหลงโลก เช่นนี้วิบากมันมีน้อยกำลังเราต้านได้สบาย

แต่ถ้าไปโดนผู้ทรงคุณเข้า วิบากแห่งอกุศลที่เราสร้างไว้ต่อผู้ทรงคุณ

มันจะกระชากเราไปสู่อบายภูมิทำให้เราตกต่ำตั้งแต่ยังไม่ตาย..

นี่..โม้มาพอสังเขป เป็นธรรมยามเช้า กับอากาศที่สดใส เยือกเย็นสบายๆ ท่ามกลางสายน้ำและหุบเขา เช้านี้ ขอให้มีความเจริญ สวัสดีครับ..!!

ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง