เรื่องจิตนี่ ซับซ้อน ลึก ละเอียด จะเอาความคิดแห่งเราไปตีไปแ
มีเพียงแต่ใจนี่แหละ ดันไปเป็นเจ้าของการวางเจ้าของมีเมื่อไหร่ ภูมิแห่งภพย่อมเกิดที่นั่น ตรงที่ความมีใจเป็นเจ้าของ ทุกอย่าง เกิดจากใจ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ใจอยู่ตรงไหน แล้วจะไปดับตรงใจได้ไงหนอ..?
การจะดับใจ ต้องไปดับที่จิต เพราะใจมันเป็นอาการของจิต จิตมันเป็นที่มาของอาการแห่
จึงจะดับจิตที่เป็นเจ้าแห่ง
ดับจิตลงได้เมื่อไหร่ ใจก็ดับลงได้เมื่อนั้น
หากจะดับจิต ต้องไปดับที่ อวิชชา เพราะ อวิชชา เป็นที่มาแห่งการปรุงแต่งให
แล้วอวิชชามันอยู่ตรงไหนหนอ..?
หากดับอวิชชาได้ การปรุงแต่งแห่งจิตก็ดับ
การปรุงแต่งที่เรียกว่าจิตด
สงสัย อวิชชาคงอยู่ในตำรา
เพราะเขาว่า อวิชชาดับ จิตสังขารดับ
จิตสังขารดับ วิญญาณดับ
วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
นามรูปดับ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ความทุกข์ใดๆ ก็ดับ
ดับอย่างท่องบ่น โจรมันก็ท่องบ่นกันได้ แต่ใจโจรมันไม่ได้ดับไปตามค
แล้วอวิชชา มันอยู่ตรงไหน อวิชชามันก็อยู่ในตัวเรา แล้วตรงไหน มันเป็นอวิชชาในตัวเรา ตัวเรามันซ่อนอวิชชาไว้ที่ต
ผมเป็นอวิชชาหรือ ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือธาตุที่รวมมาในอาการ 42 นี้ เป็นอวิชชา ไหนเล่า ตรงไหน ที่เรียกว่า อวิชชา
เมื่อหาอวิชชาไม่พบ หาอวิชชาไม่เจอ ไม่รู้จักว่าอะไรคืออวิชชา แล้วเราจะไปดับอวิชชาที่ตรง
>>.. มีคำถามเกี่ยวกับของเน่า ที่เข้าไปยึดเพราะความไม่รู
จะของเน่าของดี มันก็เกิดจากการปรุงแต่งแห่
จะเห็นถูกเป็นผิด จะเห็นผิดเป็นถูก มันก็เป็นอาการแห่งใจ ที่อาศัยสังขารมันปรุงแต่ง แล้วเราจะไปดับอาการเหล่านี
อาการแห่งใจ อาการแห่งจิต อาการแห่งอวิชชา ที่แสดงออกมา เราไม่รู้ว่า มันเป็นสมมุติ สมมุตินี้ มันสำเร็จรูปมาให้เรายึดแล้
อาศัยชาติ เป็นผู้ให้กำเนิด
ชาติอาศัยภพภูมิ เป็นผู้ให้กำเนิด
ภพภูมิอาศัย อุปาทานเป็นผู้ให้กำเนิด
อุปาทานอาศัย ตัณหาเป็นผู้ให้กำเนิด
ตัณหาอาศัย เวทนาเป็นผู้ให้กำเนิด
เวทนาอาศัยผัสสะเป็นผู้ให้ก
ผัสสะอาศัยอายตนะคือช่องต่อ
อายตนะอาศัยนามรูปเป็นผู้ให
นามรูปอาศัย วิญญาณเป็นผู้ให้กำเนิด
วิญญาณอาศัยจิตรสังขาร เป็นผู้ให้กำเนิด
จิตสังขารอาศัย อวิชชา เป็นผู้ให้กำเนิด
อวิชชา อาศัย ผัสสะ แห่งอายตนะ ที่มีมาในนามรูป อาศัยวิญญาณที่ปรุงแต่งมาจา
อวิชชาแต่ก่อนเก่า อาศัย สมมุติ ที่มีชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ นามรูป วิญญาณ จิตสังขาร ที่มีอวิชชา แต่ก่อนเก่า เป็นผู้ให้กำเนิด
และมันวนรอบแห่งอาศัยสมมุติ
นี่..คือ ที่มาของอวิชชา ที่มันปรุงมาให้เป็นสมมุติเ
เพราะอวิชชาดับ จิตสังขารมันก็ดับ
จิตสังขารดับ วิญญาณมันก็ดับ
วิญญาณดับ นามรูปมันก็ดับ
นามรูปดับ สฬายตนะทั้งหลายก็ดับ
สฬายตนะทั้งหลายดับ ผัสสะก็ดับ
ผัสสะดับ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และความทุกข์อันเป็นสมมุติท
หากเข้าใจได้เช่นนี้ หากต้องการดับอวิชชา ต้องไปดับตรง อุปาทานที่ยึด สมมุติ
อุปาทานดับ สมมุติดับ สมมุติกลายเป็นวิมุติ
วิมุติเพราะใจมันหลุดออกจาก
แต่อุปาทาน จะไปดับยังไงหนอ เพราะมัน อาศัยตัณหา ที่ผุดขึ้นมา จากใจไม่รู้จบ มันดับๆๆๆๆๆ แค่ข้างนอก แต่ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจ มันไม่ได้ไปดับด้วยนี่
เพราะใจนี้ มันยังอาศัยขันธ์ 5 ที่ยังทำหน้าที่ปรุงแต่ง ตามกำลังที่สังขารมันจะอำนว
สมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อาศัยตัณหาที่ผุดออกมาไม่รู
้จบนี่แหละ เป็นเครื่องปรุง เมื่อใจที่ไม่รู้เท่าทัน มันก็เป็นใจที่ไหลไปตามกระแ สแห่งตัณหา
นี่…เป็นใจมิจฉา ที่ไหลไปตามตัณหา เรียกกันว่า เป็นไปตามโลกสมมุติ ผลก็คือทุกข์ เหตุมาจากสมุทัย ที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ
หากจะดับ มันก็ต้องทำการมีสติ ระลึกและโยนิโส พิจารณาเหตุ ที่เป็นตัณหา ผุดออกมาจากใจไม่รู้จักจบนี้ว่าผลมันไปทางไหน
เราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้ตัดสิน ที่ดำเนินไปตามแนวทาง ที่ถูกที่ควร ตามกำลังแห่งภูมิปัญญา เท่าที่สติมี เราใช้อาการแห่งสมมุตินี้ สลายสมมุติ ที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ
ตรงนี้ เรียกว่า มรรค ผลก็คือ ใจมันเย็นลง สงบลง ไม่เร่าร้อน ไปตามธารกระแสแห่งกิเลสใจ ที่เป็นตัณหา ผุดขึ้นมาไม่รู้จบนั้นไว้ได
ผลนี้ เรียกว่า นิโรธะ นี่…ตรงนี้ อวิชชา เริ่มดับไปเรื่อยๆ ตามกำลัง แห่งอริยสัจ ผู้ที่เข้าถึงอริยสัจ ย่อมดับอวิชชา ไปตามกำลังแห่งภูมิปัญญาที่
ผู้ไม่รู้จักอริยสัจ ย่อมเข้าไปดับอวิชชา ที่ซ่อนลึกอยู่ในวังวนแห่งว
ัฏฏะที่เรียกกันว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เลย
เพราะปฏิจจสมุปบาท เป็นอาการหนึ่งของอวิชา
อวิชชาเป็นอาการหนึ่งของจิต
จิตสังขารเป็นอาการหนึ่งของ
วิญญาณเป็นอาการหนึ่ง ของนามรูป
และนามรูปเป็นอาการหนึ่ง ของวิญญาณ ที่มี อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนเกิดทุกข์ทั้งหลาย
และทุกข์ทั้งหลาย เป็นอาการแห่งสมมุติทั้งปวง
และสมมุตินี้ อาศัย อวิชชา เป็นมูลเหตุ
แล้วเรา…จะดับอวิชชากันอย
แต่จะเป็นของเลิศประเสริฐศร
เช้าแห่งวันเริ่มปีใหม่ของไ
ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม จากบทธรรม เรื่อง สงสัยความหมายแห่งภาพ.. ณ วันที่ 14 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง