แนวแห่งปฏิจสมุปบาท..

แนวแห่งปฏิจสมุปบาท..

1550
0
แบ่งปัน
ถาม – ตอบ… ปัญหาธรรม… จากบทธรรม  เรื่อง สงสัยความหมายแห่งภาพ..
แนวแห่งปฏิจสมุปบาท..
>> ลูกศิษย์ : แบบนี้ผู้ครองเรือนก็บรรลุธรรมไม่ได้สิค่ะ มีครอบครัวเป็นไม้จมน้ำ
<< พระอาจารย์ : ตอบ Voraluck… ผู้อยู่ครองเรือน บรรลุได้เช่นกัน การเข้าถึงธรรม มีหลายขั้นตามกำลังแห่งปัญญาแห่งการเข้าถึง
..นางวิสาขา 7 ขวบ แล้วมามีผัวมีลูก อยู่สืบเนื่อง จนสังขารสลายได้  นี่..ก็เป็นครอบครัว เพียงแต่ไม่ใช่บรรลุเข้าสู่ระดับอรหันต์ หากบรรลุเข้าสู่อรหันต์ ในขณะที่ครองเรือน ย่อมสละเรือน อยู่กับเรือนไม่ได้เพราะจิตมันผลักด้วยภูมิธรรมแห่งโปรแกรมของมันเอง
แม้ใจยังจะคิดว่า น่าอยู่ได้ ก็เป็นใจคิด ที่ยังเป็นใจ เข้าไม่ถึงตามภูมิจิตใจนี่..เป็นอาการแห่งจิต ที่มีโปรแกรมแห่งความเป็นเจ้าของ เข้าไปยึดครอง เป็นตัวตน โดยสภาวะนี้ ใจย่อมเป็นย่อมคิดได้ ไปตามสัญญาสังขาร ที่ปรุงไว้แต่สันดาน ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ แต่ไปบังคับจิตไม่ได้ จิตมันไม่เอา แม้ใจมันยังเอา..

เรื่องจิตนี่ ซับซ้อน ลึก ละเอียด จะเอาความคิดแห่งเราไปตีไปแปล ผิดหมด เพราะเรายังหลงอยู่ เราเอาความคิดเข้าไปตี ไม่ได้ เพราะใจกับจิต มันแยกกันคนละส่วนเอาปัญญาเข้าไปเข้าใจ ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเช่นนั่นเอง นิยามทั้งหลาย เป็นสื่อสมมุติเพื่อความเข้าใจ ก็แค่นั้น ไม่ได้ให้ใจ เข้าไปเป็นตราบใดมีใจเข้าไปเป็น มันก็เป็นใจ ที่ยึดสมมุติอยู่ไม่รู้วาง แต่ใจคิดว่าวางได้แล้วการวางทั้งหลาย มันไม่มีผู้วาง เพราะมันวางด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

มีเพียงแต่ใจนี่แหละ ดันไปเป็นเจ้าของการวางเจ้าของมีเมื่อไหร่ ภูมิแห่งภพย่อมเกิดที่นั่น ตรงที่ความมีใจเป็นเจ้าของ ทุกอย่าง เกิดจากใจ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ใจอยู่ตรงไหน แล้วจะไปดับตรงใจได้ไงหนอ..?

การจะดับใจ ต้องไปดับที่จิต เพราะใจมันเป็นอาการของจิต จิตมันเป็นที่มาของอาการแห่งใจ แล้วจิตมันอยู่ไหนหนอ..?

จึงจะดับจิตที่เป็นเจ้าแห่งใจนี้ได้ จิตอยู่ไหนหนอ..?

ดับจิตลงได้เมื่อไหร่ ใจก็ดับลงได้เมื่อนั้น

หากจะดับจิต ต้องไปดับที่ อวิชชา เพราะ อวิชชา เป็นที่มาแห่งการปรุงแต่งให้เป็นจิต เรียกว่า จิตสังขาร

แล้วอวิชชามันอยู่ตรงไหนหนอ..?  ที่จะไปดับมัน

หากดับอวิชชาได้ การปรุงแต่งแห่งจิตก็ดับ

การปรุงแต่งที่เรียกว่าจิตดับ ใจก็ดับ ใจดับ อาการทั้งหลายที่ไปยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มี แล้วอวิชชา มันอยู่ไหนหนอ..?

สงสัย อวิชชาคงอยู่ในตำรา

เพราะเขาว่า อวิชชาดับ จิตสังขารดับ

จิตสังขารดับ วิญญาณดับ

วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ

นามรูปดับ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ความทุกข์ใดๆ ก็ดับ

ดับอย่างท่องบ่น โจรมันก็ท่องบ่นกันได้ แต่ใจโจรมันไม่ได้ดับไปตามคำท่องบ่นด้วยซักกะหน่อย โจรก็ยังเป็นโจร

แล้วอวิชชา มันอยู่ตรงไหน อวิชชามันก็อยู่ในตัวเรา แล้วตรงไหน มันเป็นอวิชชาในตัวเรา ตัวเรามันซ่อนอวิชชาไว้ที่ตรงไหน หรือตรงไหนที่มันเป็นที่ซ่อนตัวของอวิชชา ลากออกมาดูซิ

ผมเป็นอวิชชาหรือ ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือธาตุที่รวมมาในอาการ 42 นี้ เป็นอวิชชา ไหนเล่า ตรงไหน ที่เรียกว่า อวิชชา

เมื่อหาอวิชชาไม่พบ หาอวิชชาไม่เจอ ไม่รู้จักว่าอะไรคืออวิชชา แล้วเราจะไปดับอวิชชาที่ตรงไหน..?

>>.. มีคำถามเกี่ยวกับของเน่า ที่เข้าไปยึดเพราะความไม่รู้ คือ อวิชชา

จะของเน่าของดี มันก็เกิดจากการปรุงแต่งแห่งสังขาร มันก็ปรุงไปอย่างนั้นตาม อาการแห่งจิตสังขาร แล้วไหนเล่า ตัวอวิชชา

จะเห็นถูกเป็นผิด จะเห็นผิดเป็นถูก มันก็เป็นอาการแห่งใจ ที่อาศัยสังขารมันปรุงแต่ง แล้วเราจะไปดับอาการเหล่านี้ได้อย่างไร..?

อาการแห่งใจ อาการแห่งจิต อาการแห่งอวิชชา ที่แสดงออกมา เราไม่รู้ว่า มันเป็นสมมุติ สมมุตินี้ มันสำเร็จรูปมาให้เรายึดแล้วเรียบร้อย

อาศัยชาติ เป็นผู้ให้กำเนิด

ชาติอาศัยภพภูมิ เป็นผู้ให้กำเนิด

ภพภูมิอาศัย อุปาทานเป็นผู้ให้กำเนิด

อุปาทานอาศัย ตัณหาเป็นผู้ให้กำเนิด

ตัณหาอาศัย เวทนาเป็นผู้ให้กำเนิด

เวทนาอาศัยผัสสะเป็นผู้ให้กำเนิด

ผัสสะอาศัยอายตนะคือช่องต่อทางเข้า เป็นผู้ให้กำเนิด

อายตนะอาศัยนามรูปเป็นผู้ให้กำเนิด

นามรูปอาศัย วิญญาณเป็นผู้ให้กำเนิด

วิญญาณอาศัยจิตรสังขาร เป็นผู้ให้กำเนิด

จิตสังขารอาศัย อวิชชา เป็นผู้ให้กำเนิด

อวิชชา อาศัย ผัสสะ แห่งอายตนะ ที่มีมาในนามรูป อาศัยวิญญาณที่ปรุงแต่งมาจากจิตสังขาร สืบเนื่องด้วยอวิชชา ที่มีมาแต่ก่อนเก่า เป็นผู้ให้กำเนิด

อวิชชาแต่ก่อนเก่า อาศัย สมมุติ ที่มีชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ นามรูป วิญญาณ จิตสังขาร ที่มีอวิชชา แต่ก่อนเก่า เป็นผู้ให้กำเนิด

และมันวนรอบแห่งอาศัยสมมุติเช่นนี้ ในแต่ก่อนเก่า และก่อนเก่า ที่เป็นอดีต ซ้ำๆ อดีต จนหาจุดเริ่มต้นไม่เจอ เป็นที่อาศัยการกำเนิด

นี่..คือ ที่มาของอวิชชา ที่มันปรุงมาให้เป็นสมมุติเพื่อให้ จิตดวงนี้ได้ยึดกัน แล้วมันอยู่ตรงไหน เราจะไปดับมัน

เพราะอวิชชาดับ จิตสังขารมันก็ดับ

จิตสังขารดับ วิญญาณมันก็ดับ

วิญญาณดับ นามรูปมันก็ดับ

นามรูปดับ สฬายตนะทั้งหลายก็ดับ

สฬายตนะทั้งหลายดับ ผัสสะก็ดับ

ผัสสะดับ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และความทุกข์อันเป็นสมมุติทั้งหลายก็ดับ

หากเข้าใจได้เช่นนี้ หากต้องการดับอวิชชา ต้องไปดับตรง อุปาทานที่ยึด สมมุติ

อุปาทานดับ สมมุติดับ สมมุติกลายเป็นวิมุติ

วิมุติเพราะใจมันหลุดออกจากอุปาทาน

แต่อุปาทาน จะไปดับยังไงหนอ เพราะมัน อาศัยตัณหา ที่ผุดขึ้นมา จากใจไม่รู้จบ มันดับๆๆๆๆๆ แค่ข้างนอก แต่ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจ มันไม่ได้ไปดับด้วยนี่

เพราะใจนี้ มันยังอาศัยขันธ์ 5 ที่ยังทำหน้าที่ปรุงแต่ง ตามกำลังที่สังขารมันจะอำนวย เมื่อตราบใดที่ยังมีสังขาร การปรุงแต่งแห่งตัณหามันก็ผุดขึ้นมาไม่รู้จบอยู่แค่นั้น ตรงนี้ เรียกว่า สมุทัย

สมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อาศัยตัณหาที่ผุดออกมาไม่รู้จบนี่แหละ เป็นเครื่องปรุง เมื่อใจที่ไม่รู้เท่าทัน มันก็เป็นใจที่ไหลไปตามกระแสแห่งตัณหา

นี่…เป็นใจมิจฉา ที่ไหลไปตามตัณหา เรียกกันว่า เป็นไปตามโลกสมมุติ ผลก็คือทุกข์ เหตุมาจากสมุทัย ที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ ไม่รู้จบ เรียกว่า เป็นผู้ดำเนินทาง มาในทางฟากก่อ

หากจะดับ มันก็ต้องทำการมีสติ ระลึกและโยนิโส พิจารณาเหตุ ที่เป็นตัณหา ผุดออกมาจากใจไม่รู้จักจบนี้ว่าผลมันไปทางไหน

เราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้ตัดสิน ที่ดำเนินไปตามแนวทาง ที่ถูกที่ควร ตามกำลังแห่งภูมิปัญญา เท่าที่สติมี เราใช้อาการแห่งสมมุตินี้ สลายสมมุติ ที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบนี้ ให้มันแจ้งใจ

ตรงนี้ เรียกว่า มรรค ผลก็คือ ใจมันเย็นลง สงบลง ไม่เร่าร้อน ไปตามธารกระแสแห่งกิเลสใจ ที่เป็นตัณหา ผุดขึ้นมาไม่รู้จบนั้นไว้ได

ผลนี้ เรียกว่า นิโรธะ นี่…ตรงนี้ อวิชชา เริ่มดับไปเรื่อยๆ ตามกำลัง แห่งอริยสัจ ผู้ที่เข้าถึงอริยสัจ ย่อมดับอวิชชา ไปตามกำลังแห่งภูมิปัญญาที่มีที่เป็น

ผู้ไม่รู้จักอริยสัจ ย่อมเข้าไปดับอวิชชา ที่ซ่อนลึกอยู่ในวังวนแห่งวัฏฏะที่เรียกกันว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เลย

เพราะปฏิจจสมุปบาท เป็นอาการหนึ่งของอวิชา

อวิชชาเป็นอาการหนึ่งของจิตสังขาร

จิตสังขารเป็นอาการหนึ่งของวิญญาณ

วิญญาณเป็นอาการหนึ่ง ของนามรูป

และนามรูปเป็นอาการหนึ่ง ของวิญญาณ ที่มี อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนเกิดทุกข์ทั้งหลาย

และทุกข์ทั้งหลาย เป็นอาการแห่งสมมุติทั้งปวง

และสมมุตินี้ อาศัย อวิชชา เป็นมูลเหตุ

แล้วเรา…จะดับอวิชชากันอย่างไรดี เมื่อพอรู้แนวทางกันเช่นนี้ เช้านี้ ธรรมมันไหลมาลึกมากไป ธรรมนี้ย่อมไม่รู้เรื่องแก่ปุถุชนทั้งหลาย

แต่จะเป็นของเลิศประเสริฐศรีแก่เหล่า อริยชน

เช้าแห่งวันเริ่มปีใหม่ของไทยเรา ธรรมกะ…ขอสาธุคุณ และสวัสดีมีชัยร่ำรวยกันทุกท่านครับ ขอสาธุคุณในธรรมแห่งมุตโตทัย…!!!

ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม จากบทธรรม เรื่อง สงสัยความหมายแห่งภาพ.. ณ วันที่ 14 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง