ฝึกสติยามเช้า

ฝึกสติยามเช้า

1434
0
แบ่งปัน

1483283ตอนเช้าๆ หากตื่นมาแล้วไม่ขี้เกียจนัก พอลืมตาขึ้นมา เราก็ทำความรู้สึกอยู่กับกาย จะเหลียวซ้ายแลขวา จะเอื้อม จะลุก จะพับผ้า จะเก็บที่นอน ทำความรู้สึกตัวไว้ 

ให้มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังทำอะไร พยายามอย่าให้หลุด เดินไปเข้าห้องน้ำ จะเยื้องจะย่าง จะจับก๊อก จะแปลงฟัน ทำความรู้สึกตัวอยู่กับมันไว้ นี่เป็นการ พิจารณากายใน 

เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกเช่นนี้ ความคิดต่างๆ ที่ประดังเข้ามา สุมอยู่ในสมอง ซึ่งเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราจะรู้และเห็น นี่เป็นเวทนาการพิจารณา เวทนาใน

หากเรามีปัญญาพิจารณาพอ มีสติระลึกได้ในขณะที่ทำความรู้สึกอยู่กับกาย เราจะเห็นชัดว่า สิ่งเหล่านี้ที่มันยังว้าวุ่นอยู่ มันเกิดขึ้นเองทั้งๆ ที่เราไม่ได้ไปทำความรู้สึกนึกคิดกับมัน มันก็ปรุงของมันเอง

ที่เราเราไม่รู้ว่ามันปรุง เพราะเราไม่ได้มีสติทำความรู้สึกตัวกับกาย พอมันปรุงของมัน เราโดดไปตามกระแสของมันเลย ไปเป็นเจ้าของ และกลายเป็น เราวางสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

ตื่นมาเราก็เป็นเจ้าของความคิดเลย นี่เพราะขาดการ พิจารณากายใน และเวทนาในด้วยสติ หากเราได้หมั่นทำความรู้สึกตัวบ่อยๆ จนเคยชิน จะเห็น ความรู้สึกแห่งเรือนกาย ความรู้สึกแห่งเวทนา และย่อมรู้ว่า เวทนานี้ เป็นอาการของจิต นี่เป็นจิตใน

เมื่อทำความรู้สึกกับกาย ย่อมรู้สึกถึงเวทนา ย่อมรู้สึกถึงจิต จะเห็นชัดว่าสิ่งเหล่านี้ มันอาศัยปัจจัยเกิดตามหน้าที่ของมัน ไม่ใช่เราทำให้เกิด นี่เป็นธรรมใน

เมื่อเกิดความชำนาญ จนเคยชิน ในการพิจารณากายใน พิจารณาเวทนาใน พิจารณาจิตใน พิจารณาธรรมใน ย่อมพิจารณาเห็น กายในกาย ย่อมพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ย่อมพิจารณาเห็น จิตในจิต ย่อมพิจารณาเห็น ธรรมในธรรม

เมื่อทำความรู้สึกอยู่กับกาย จะเข้าใจด้วยตัวมันเองว่า เวทนาทั้งหลายที่ผ่านผัสสะ อาศัยกายเกิด จิตทั้งหลาย อาศัยเวทนาที่ผัสสะทั้ง 6 ทางเกิด

ธรรมทั้งหลายที่รู้กาย เวทนา อาศัยจิตเกิด ความรู้แจ้งตรงตามความเป็นจริง อาศัยธรรมเกิด ธรรมทั้งหลายอาศัยกายเกิด เวทนาก็ซ่อนอยู่ในกาย เมื่อพิจารณากาย ย่อมเห็นเวทนา

จิตก็ซ่อนอยู่ในเวทนา เมื่อพิจารณาเวทนา ย่อมเห็นจิต ธรรมก็ซ่อนอยู่ในจิต เมื่อพิจารณาจิต ย่อมเห็นธรรม ธรรมทั้งหลาย ก็ซ่อนอยู่ในกายนี่แหละ มีสติพิจารณากาย พิจารณากายนอก พิจารณากายใน พิจารณากายในกาย ก็จะเห็นเวทนา

พิจารณาเวทนานอก พิจารณาเวทนาใน พิจารณาเวทนาในเวทนา ก็จะเห็นจิต พิจารณาจิตนอก พิจารณาจิตใน พิจารณาจิตในจิต ก็จะเห็นธรรม พิจารณาธรรมนอก พิจารณาธรรมใน พิจารณาธรรมในธรรม ก็จะเห็นความจริงประจักษ์ชัดว่า

ทั้งกายนอก กายใน กายในกาย
เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา
จิตนอก จิตใน จิตในจิต
ธรรมนอก ธรรมใน ธรรมในธรรม

ทั้งหลายทั้งปวง ล้วนสมมุติ ไร้สาระและเนื้อหาแห่งความมีคุณค่าใดๆ ที่จะไปยึดหา ครอบครอง ธรรมทั้งหลายมันหลอกลวงจิต

จิตทั้งหลายมันหลอกลวงเวทนา เวทนาทั้งหลายมันหลอกลวงกาย กายทั้งหลาย มันหลอกลวงเรา และที่สำคัญ เรามันเสือกไม่มี ที่มีเพราะมันเป็นสมมุติ เรามีเพราะมีสมมุติ สมมุติคือตัวอวิชา อวิชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง..

นี่เป็นขั้นตอนอย่างหยาบๆ ในการฝึกสติ ในช่วงเช้า เมื่อตื่นนอน แต่ที่ขยายออกไปยาวๆ นั้น แค่ชี้ให้เห็นช่องทางที่ไป เดี๋ยวหนูๆ งงอีก

เมื่อเราทำความรู้สึกตัว จะเดิน จะลุก จะแปรงฟัน จะขี้ จะเยี่ยว เพ่งอาการมันเข้าไป เราจะเห็นเวทนา แต่แรกๆ ไม่รู้จักมันหรอก ไม่ต้องสนอาการทั้งหลาย จับอยู่ที่กายอย่างเดียว จากตื่นนอน จนทำกิจจบ

แล้วกลับมานั่งสมาธิเงียบๆ สงบๆ เพ่งคำบริกรรมอะไรก็ได้ หากมันสงบจริง คำบริกรรมมันก็หยาบ สร้างความรำคาญให้กับใจได้อีก ก็ให้เพ่งดูลมเฉยๆ เอาซักสิบยี่สิบนาทีก็พอ

แล้วแผ่เมตตาจิต อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ทิ้งการปฏิบัติไว้แค่นี้ ที่เหลือจะเป็นอย่างไร มันให้เต็มที่กับชีวิต ยอมรับความจริงที่ว่า เรามันอยู่กับสังคม เราก็ทำตัวตามสบายไปตามสังคม เอากันแค่นั้น..

และที่สำคัญอย่างหนึ่ง เราตั้งปฏิธานไว้เลยว่า ตั้งแต่ตื่นนอน จนถึง 9 โมงเช้า ขึ้นชื่อว่าชั่ว กูจะไม่ทำ ศีลทั้ง 5 ข้อ จะไม่ให้ด่างพร้อย รักษามันไว้เอาให้ได้ อดใจให้ได้ เอากันแค่ 9 โมงเช้าพอ ที่เหลือจะเป็นเหี้ยยยยแค่ไหน ไม่เป็นไร เป็นตัวของเราที่เคยเป็นไป

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง