*** “เกิดมาหัดมองเขามองเรา อย่าตัดสินจากมุมของเรา” ***
สิ่งที่น่ากลัว คือ ความเห็นของคนที่มองจากมุมตน
คนเรานั้น มันมองอะไรจากมุมของตน โดยลืมไปว่า ผู้อื่นเขาก็มีมุมของเขา
ข้านี่ท้าทายความรู้สึกผู้คนมาก เพื่อมองเห็นข้อแตกต่างที่เราจำเจและจำนน
ทุกคนย่อมมีเหตุมีผลในสิ่งที่ทำ
คนหนึ่งทำด้วยสันดานตน กับอีกคนหนึ่งทำด้วยอยากดูสันดานตน ผลมันผิดกัน
คนหนึ่งทำด้วยปัญญารู้ในสิ่งที่ทำ
อีกคนทำด้วยความเคยชินตามใจตน ผลก็ย่อมแตกต่างกัน
เราต่างยึดในตรรกะแห่งตนที่คิดว่าตนนั้นถูกเสมอ
ผู้อื่นที่เขาทำเขาก็มองมุมของเขาที่เขานั้นก็ถูกเหมือนกัน
บางทีเราอาจลืมไปถึงใจเขาใจเรา เพราะเงื่อนที่เราวางปมไว้ มันไม่ได้แก้
สิ่งเดียวกันจากความเห็นคนเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลยเพื่อนเอ๋ย
มันอาศัยความถูกใจไม่ถูกใจที่เกิดจากตัณหาตนทั้งนั้นแหละ
คุณยายคนหนึ่งเห็นฝนตกลงมา ก็รู้สึกสุขใจที่ลูกชายปลูกผัก
ผักจะได้เจริญงอกงามด้วยฝนที่ประทานจากฟ้า
แต่ทุกข์ใจกับลูกสาว ที่ขายปลาสลิดตากแห้ง ป่านนี้ปลาคงเน่าขาดทุนป่นปี้
ฝนเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทุกข์ หรือตัวคุณยายเป็นตัวต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์
ความทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่ฝน พอๆกับความสุขก็ไม่ได้เกิดจากฝนเช่นเดียวกัน
สุขทุกข์เกิดจากที่คุณยายไปให้ค่ามัน ฝนไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ความสุขแห่งใจใครเลย
การกระทำของคนนั้นก็เช่นกัน
เราเห็นเขาไม่ดี มันไม่ดีเพราะเราให้ค่ามัน
คนอีกมากมายเห็นว่าเขาดี
ความดีก็เพราะคนมากมายให้ค่ามัน
ดีเลวเกิดจากเราไปให้ค่า ไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น
เมื่อให้ค่า..มึงก็ทุกข์และสุขด้วยตรรกะที่ใจมึงก่อขึ้นมานั่นแหละ
พึงเรียนรู้ที่จะรักษาใจตนเอง ในการให้ค่าแก่สิ่งที่กระทบใจตน
ถูกผิด ดีเลว ใช่ไม่ใช่ มันก็เกิดจากการให้ค่าจากใจเรานี่แหละ
อย่ามัวแต่โทษคนอื่นแล้วหาพวกแสวงหาคนสนับสนุนความถูกผิดตน
หาความถูกผิดตน ด้วยการหันมาดูใจตนเองแล้วจะเห็นว่าถูกผิดทั้งหลาย เกิดจากใจมึงทั้งนั้น
ใจที่ให้ค่าสิ่งที่กระทบแล้วตัดสิน เพราะการให้ค่านั้น มันเป็นใจธรรมดาของปุถุชนคนธรรมดา
ใจที่มองเห็นมาทางใจตนเห็นสิ่งที่ตนให้ค่า เป็นใจที่ก้าวสู่อริยะบุคคล
คนที่เห็นใจตนกำลังให้ค่า ไม่ว่าถูกผิด ย่อมระงับตัณหาและความเร่าร้อนในสิ่งที่กำลังกระทบได้อย่างเข้าใจ
ความเข้าใจจะนำพาไปสู่ทางเลือก ที่เลือกได้ว่า
เราจะทำอย่างไรกับมัน ในการที่จะเลือกเดิน
โน่นเกือก..เอามายัดลงในตีนแล้วเดินออกไปย่ำชีวิตให้มันสะใจไม่ต้องอะไรกับใครมากมายจะดีกว่า..
พระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2563