การมีดวงตาเห็นธรรม

การมีดวงตาเห็นธรรม

242
0
แบ่งปัน

*** “การมีดวงตาเห็นธรรม” ***

” การมีดวงตาเห็นธรรมนี่ มันใช้อะไรเห็น และมองเห็นได้อย่างไรครับ จึงได้ชื่อว่ามีดวงตาเห็นธรรม..ขอพระอาจารย์ขยายหน่อยครับ ”

” การมีดวงตาเห็นธรรม ใช้ตาไหนเห็นค่ะ ”

” การมีดวงตาเห็นธรรมคือการบรรลุธรรมใช่ไหม ”

** มีคำถามหลากหลายเกี่ยวกับคำว่า การมีดวงตาเห็นธรรม..

ในพุทธศาสนานี่ มีคำวลีและอวยพรว่า ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม

ความหมายตรงนี้นี่ หมายถึง การรู้แจ้ง การรู้ชัด รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาน่ะ

การมีดวงตาเห็นธรรมนี่ ไม่ใช่รู้เห็นด้วยความถูกต้อง แต่เป็นความจริง ที่ได้รู้เห็น

และมันเกิดจากภูมิปัญญารู้เห็น ที่ไม่ได้เหมือนกัน ของใครของมัน

มันขึ้นอยู่กับ วาสนาบารมีในปัญญาที่สะสมมาซึ่งไม่เท่ากัน

การมีดวงตาเห็นธรรม มันเป็นการรู้เห็นความจริง แล้วมันคลาย อุปาทาน ที่ตนยึดมั่นถือมั่นลงอย่างไร้ข้อกังขา

คนเรานั้น มักจะหลงยึดนั่น นู่ นี่ ด้วยความเห็นตน ว่าใช่ ว่าถูกต้อง โดยไม่รับฟังความเห็นใคร

อาศัยจากการอ่าน การฟัง การกระทำ การปฏิบัติ แล้วนำมายึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งที่ตนทำ รู้เห็นมา เป็นสิ่งถูกต้อง

ที่สำคัญ ไม่ยอมรับฟังใคร หรืออะไรที่นอกเหนือไปจาก สิ่งที่ตนรู้เห็น

คนที่ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม เบื้องต้นจะประกอบไปด้วย อัตตาตน ความสงสัย และอุปาทานในความคิดเห็น

มีความเห็นว่า สิ่งที่ตนรู้ ตนทำ ตนคิด เป็นความถูกต้อง ผิดไปจากที่ตนเข้าใจ ที่ตนรู้ ตนเห็น ตนคิด ผิดทั้งนั้น

เรียกว่ายึดความถูกต้องด้วยอุปาทานแห่งตน ที่ได้จดจำมา รู้มา เห็นมา กระทำมา โดยไม่ฟังใคร

หรือแม้จะเป็นคนฟัง แต่สิ่งที่ฟัง มันไม่ได้สะกิดใจ ไม่เปลื้องหรือลบล้างในสิ่งที่ตนเห็นตนยึดอย่างไม่รู้ตัวนั้น ให้ทุเลา เบาบาง จางคลายลงไปได้

พระสารีบุตร ฟังพระอัสสชิ แล้วเกิดมีดวงตาเห็นธรรม แค่ประโยคเดียว มีดวงตาเห็นธรรม

นั่นเพราะแต่ก่อนไม่เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายที่ตนแสวงหา ที่ตนเข้าใจ ที่ตนสงสัย ที่ตนรู้เห็น ที่ตนยึดมั่นถือมั่นนั้น มันต่างมีเหตุด้วยกันทั้งสิ้น

การตัดสินด้วยผลที่ปรากฏ ว่าถูกต้อง ว่าใช่ และยึดกันสืบๆกันมา มันไม่ใช่ความเป็นจริง

มันเป็นความเห็นด้วยอัตตาตนที่หลงยึดว่าถูก

ความจริงสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏต่อตนนั้น เนื่องด้วยเหตุทั้งสิ้น

การเข้าไปถึงเหตุ จะรู้เห็นเป็นความจริงมากกว่าการยึดเอาผลนั้นมาเป็นความถูกต้อง

เหตุดี ผลจึงดี เหตุเลวผลดีเป็นไม่มี

ที่ยังเข้าใจว่าผลดี เป็นเพราะโดนปกปิดด้วยความถูกใจ ความชอบใจ

อันเนื่องด้วยตัณหาผุดขึ้นมา ที่ขาดการพินิจพิจารณา

การมีดวงตาเห็นธรรม เป็นการมองเห็นความจริงอันเป็นสัจจะธรรม ที่อธิบายได้ด้วยเหตุและผล

สิ่งแรกที่จะทำให้มีดวงตาเห็นธรรมได้ นั่นก็คือ การลดอัตตาตน ลดตัวตน ลดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเป็น

การโน้มเข้าไปหาผู้รู้ หรือผู้อื่นที่ตนใคร่รู้ ว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

เราจะได้คำตอบในสิ่งที่เราสงสัยในสิ่งที่เขาเป็น

พระสารีบุตรมองพระอัสสชิแล้วเกิดความเลื่อมใสในปฏิทา การเดิน การเหลียว การครองเพศ

อะไรหนอ จึงทำให้ท่านผู้นี้ มีกริยาความเป็นอยู่ ที่น่าเลื่อมใส

เมื่อได้ฟังการปราศัย ว่าธรรมทั้งหลาย มันเนื่องด้วยเหตุ การมีดวงตาเห็นธรรมก็ปรากฏขึ้น

แม้นำเรื่องนี้กลับไปบอกกล่าวกับเพื่อนพ้อง เพื่อนพ้องต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมด้วยเช่นกัน

นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า การมีดวงตาเห็นธรรม ไม่ใช่เป็นสิ่งยากเย็นสูงเกินเอื้อมต่อผู้คนทั้งหลาย

ที่ท่านไม่มีดวงตาเห็นธรรม และมองเห็นความจริงไม่ได้

มันเกิดจากตัวท่านทั้งหลาย ยึดมั่นถือมันในอัตตาตนจนเกินไป ด้วยความเห็นว่าตนถูกต้อง

ลองลดน้อยถอยตัวตนที่ไม่ฟังใคร ด้วยการยอมน้อมตัวเข้าไปฟังเหตุฟังผลของใครอื่นเขาบ้าง

จริงๆเราก็มีดวงตาเห็นธรรมกันบ่อยๆทุกครั้ง ที่เป็นคนยอมรับฟังเหตุผลของผู้อื่นด้วยความเข้าใจอยู่แล้ว

เมื่อใหร่ที่เรายอมลดอัตตาตน ยอมรับฟังเหตุผลความคิดเห็นของผู้อื่น

สิ่งทั้งหลายที่เราเห็นว่าใช่ว่าถูกด้วยอัตตาตน มันก็จะคลายความสงสัย

ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเห็นว่าถูก มันก็จะทุเลา เบาบาง จางคลายไป

นี่..เรียกได้ว่า เป็นผู้เข้าถึงสังโยชน์ทั้งสามประการ

คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส

ลองหัดลดความมั่นใจในตน ว่าตนเองนั้นถูก แล้วหันมาหัดฟังคนรอบข้างบ้าง

ความสงสัยในตนที่ไม่ฟังใครมันจะได้คลาย

ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้เห็นและยึดไว้ มันจะได้โดนทำลาย

ใจมันจะได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงกับใครเขาบ้าง

นี่..การมีดวงตาเห็นธรรม

ไม่ใช่ เอาแต่ตัวกูอย่างเดียวที่เห็นว่าถูก คนอื่นนี่เหี้ยยยหมด ไอ้สัดดดเอ้ยยย..

พระธรรมเทศนาวันที่ 2 เมษายน 2562

โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง