เพราะเหตุแห่งเอามโนคือความคิดมาเป็นจิต

เพราะเหตุแห่งเอามโนคือความคิดมาเป็นจิต

253
0
แบ่งปัน

*** “เพราะเหตุแห่งเอามโนคือความคิดมาเป็นจิต” ***

#มหาเหรียญท่านได้เขียนเอาไว้
#มีคนถามข้าจึงนำมาวินิจฉัยในสิ่งที่ถามเกี่ยวกับมโนเป็นจิตหรือ

กระผมขอเขียนธรรมที่เป็นไปเพื่อความสามัคคีนิดหน่อยครับ
เพื่อทบทวนพระธรรมที่เคยได้ร่ำเรียนมา อย่างน้อยก็จะได้เตือนสติตนเองด้วย

ธรรมที่พระบรมศาสดาทรงมอบไว้เพื่อเป็นหลักชัยที่ส่งเสริมความสามัคคีก็คือ สาราณียธรรม ๖
อันประกอบด้วย

๑.กายกรรม ประกอบด้วยเมตตา ไม่เป็นไปเพื่อการเบียนเบียนกันทางกาย

๒.วจีกรรมประกอบด้วยเมตตา สร้างวาจาคำพูดเชิงบวกและเป็นจริงให้กาลบุคคลเหตุปัจจัยอื่นๆ

๓.มโนกรรมประกอบด้วยเมตตา คือมีความคิดชอบ คิดดีคิดสร้างสรรค์ มีจิตกุศลที่ดีต่อกัน

๔.สาธารณโภคี แบ่งปันกัน เสียสละเผื่อแผ่แก่ตนเองแก่คนอื่นแก่สังคม แบ่งปันสิ่งดีๆมีรอยยิ้มเป็นต้น

๕.สีลสามัญญตา ความเป็นผู้มีศีลเสมอกัน เพราะศีลเป็นที่ตั้งแห่งสันติภาพโลก

๖.ทิฏฐิสามัญญตา ความเป็นผู้มีความคิดคล้ายๆกัน บ่มเพาะจริตนิสัยคล้ายๆกัน
ยอมรับในความต่างมีใจกว้าง

อันธรรม๖ประการนี้ เป็นไปเพื่อความสามัคคีที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ครับ

เขียนไว้เพื่อทบทวนธรรมมิให้หล่นหายจากใจ
#มหาเหรียญหัวลำโพง

นี่เป็นข้อเขียนของท่านมหาผู้หมวดเหรียญ จึงอยากจะขอยกหัวข้อสาราณีนกรรม 6 มาวิสัชนา เกี่ยวกับธรรม

เรามักเอาความคิดมาเป็นจิต จึงพากันสอนและชี้ให้ว่างจากความคิด

เพราะความคิดจะทำให้เราไม่พ้นทุกข์ ต้องว่างจากความคิด เราจึงจะพ้นทุกข์

นี่เป็นสีลัพพตปรามาส คือเป็นความเห็นผิดละความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นแห่งตนไม่ได้

จัดเป็นอัสมิมานะอันเป็นกิเลสแห่งการเกิดกำเนิดภพ

ในมโนกรรมอันมีความหมายว่า เป็นความคิด ในที่นี้หมายถึงคิดดีคิดชอบ ด้วยการกระทำทางความคิด จึงได้ชื่อว่ามโนกรรม

อีกตัวก็คือ ทิฏฐิสามัญญตา ก็เป็นความหมายของความเห็นเป็นจิตนาการความคิดในแต่ละบุคคล

จะเห็นว่า ความคิดเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องใช้ ไม่ใช่ให้ว่างจากความคิด

ความคิดความเห็นจินตนาการ อันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเครื่องมือนำไปสู่ความรู้แจ้ง

การชี้สอนให้ว่างจากความคิด จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิตัวหนึ่งที่เป็นสีลัพพตปรามาส

ยึดเอาความเห็นตนในมิจฉาว่าเป็นสัมมา นี่เรื่องหนึ่ง..

ต่อเนื่องจากความคิด ด้วยการให้ความหมายว่า ความคิดเป็นตัวจิต

เข้าใจว่า เมื่อไม่คิดจิตก็ว่าง..
ความว่างจากจิตที่ปราศจากความคิด
จะนำพาให้ผู้คนพ้นไปจากทุกข์

นี่..พากันชี้กันอย่างนี้

ที่ชี้อย่างนี้ ก็เพราะตีความและเข้าใจว่า ความคิดเป็นตัวจิต

ด้วยข้ออ้างว่า ครูบาอาจารย์บอกว่า อย่าส่งจิตออกนอก

ซึ่งหมายความว่า อย่าไปคิดนอกเรื่องในสิ่งที่ตนกำลังปฏิบัติ

ด้วยเหตุนี้ หลายสำนักจึงไปตีเหมารวมว่า ความคิดนี้ก็คือตัวจิตนั่นเอง

ฉนั้น..เมื่อพยายามไม่คิด จิตเราก็จะว่าง เมื่อจิตว่าง เราก็จะไม่ทุกข์

เพราะเข้าใจว่า ที่คนทุกข์ ทุกข์มาจากความคิด

นี่..มันเป็นธรรมแห่งความเฮงซวยของไอ้บ้าที่มันคิดเอาเอง และพาผู้คนให้เห็นคล้อย

เรียกว่าเอามโนมาเป็นจิต

มโนนี่นะ มันเป็นจิตนนาการทางความคิด อาศัยการปรุงแต่งแห่งผัสสะต่ออายตนะ มาเป็นเวทนา

ตัณหามันก็ทำงาน เมื่อตัณหาทำงาน ความคิดมันก็เลยผุดออกมาตามสมมุติแห่งจิตนาการตามสัญญาแห่งการผัสสะ

ซึ่งมันเป็นอาการทางจิตปรุงแต่ง มันไม่ใช่ตัวจิต ซึ่งมันปรุงแต่งทุกทางที่เป็นอายตนะอยู่แล้ว

เมื่อเข้าใจว่ามันปรุงแต่งทุกทางแห่งช่องทางอายตนะ

หากเอาการปรุงแต่งทางมโนมาเป็นจิต การปรุงแต่งจักษุเอย ทางโสตตะเอย ทางฆานะเอย ทางกายเอย ชิวหาเอย ก็ต้องเป็นจิตด้วยเช่นกัน

เมื่อต้องว่างจากมโนจิต คือการปรุงแต่งทางความคิด

มันก็ต้องว่างจากรูปที่มันปรุงแต่งด้วย
ว่างจากเสียง ว่างจากกลิ่น ว่างจากรส
ว่างจากความรู้สึกแห่งผัสสะทางกายด้วย

ตลกไหม ว่างจากความคิด แต่ตายังเห็นรูป หูยังได้ยินเสียง จมูกยังได้กลิ่น ลิ้นยังรู้รส กายยังรู้ร้อนอ่อนแข็ง

นี่..การเอามโนมาเป็นจิตแล้วต้องทำให้มันสงบและว่างจากความคิดด้วยความรู้สึกตน ด้วยการอุดมันไว้ไม่ให้ปรุง

แต่รูรั่วอีกห้าช่องห้ารู ไม่รู้ว่ามันรั่วอยู่ และมองไม่เห็นความรั่วแห่งรู

เอามโนมาเป็นจิต อุดรูรั่วแห่งมโนไม่ให้คิด จิตจะได้ว่างจากความคิด

แต่ลืมคิดว่า ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย มันก็ยังปรุงอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างจากหน้าที่มันเลย

ถ้าเอามโนมาเป็นจิต รูปก็เป็นจิต กลิ่นก็เป็นจิต เสียงก็เป็นจิต ความรู้สึกต่างๆก็เป็นจิต

ผู้ปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ช่องทางเหล่านี้ว่างจากการปรุงด้วย มันจึงจะเรียกได้ว่า เป็นผู้สงบและว่างเปล่าจริงๆ

นั้นก็หมายความว่า ถ้าอายตนะเหล่านี้ไม่ทำงาน เราก็จะเป็นผู้พ้นทุกข์เช่นนั้นหรือ

นี่แสดงว่า คนหูหนวก ตาบอด จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นชาไม่รู้รส ความรู้สึกตายด้าน ก็ย่อมเป็นผู้พ้นทุกข์ไปด้วย

เพราะไม่ปรุงแต่งและว่างเปล่าจากการทำงานในหน้าที่ตน

นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย..

ธรรมนั้นมันเป็นการเห็นธรรมชาติในสิ่งที่มันเป็นอย่างกว้างขวาง

ไม่ใช่เป็นธรรมเพราะเห็นธรรมชาติแห่งช่องเดียวรูเดียวแล้วมันจะเป็นธรรมแห่งความพ้นทุกข์ โดยเอาตัวเข้าไปเป็น

มโนกรรมและทิฏฐิสามัญญตา ต่างเป็นจิตนาการความคิดและการกระทำทางความคิดในสาราณียธรรม 6

เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า ความคิดมันไม่ใช่จิต

ความคิด เป็นตัวมโน และทิฏฐิ ที่ปรุงแต่งออกมาจากช่องทางแห่งอายตนะ

และอายตนะก็ไม่ใช่จิต อายตนะมันมีช่องทางหกช่องในการปรุงแต่ง

เมื่อเข้าใจว่าช่องหนึ่งเป็นจิต อีกห้าช่องก็ต้องเป็นจิตด้วยจริงไหม

ฉนั้น ใครที่เข้าใจว่า ทุกข์เกิดจากความคิด ความคิดเป็นจิต เราต้องว่างจากความคิด จิตเราจะได้ไม่ทุกข์

นี่..ธรรมแห่งความห่วยแตก เป็นอัตตาธรรมอันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่พวกนอกศาสนา อาศัยแนวทางนี้มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

พึงเรียนรู้ธรรมอย่างฉลาด และอย่าจมแช่กับความคิดเห็นเดิมๆ

นี่..ปี 2019 แล้ว ธรรมทั้งหลายเราควรนำมาวินิจฉัยให้ตรงตามความเป็นจริง

ไม่ใช่แช่อยู่กับความเห็นแบบเดิมๆ ด้วยการเอาตัวเข้าไปเป็น และชี้ธรรมด้วยความเห็นตนที่ขาดการวินิจฉัย

พระธรรมเทศนาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง