ทำอย่างไรกับอาการโกรธที่มันกำเริบ

ทำอย่างไรกับอาการโกรธที่มันกำเริบ

292
0
แบ่งปัน

*** “ทำอย่างไรกับอาการโกรธที่มันกำเริบ” ***

ลูกศิษย์ >>> พระอาจารย์ครับ อดทน.แบบเอาสติเข้าไปข่มกดอารมณ์
ไม่ให้ ความโกรธ เกลียด ไม่พอใจ มันกำเริบ
ผมยังพอทนได้
แต่พอโดนกระทบมากๆเข้า
เขื่อนแตกครับ

ผมทำได้แค่ข่มกดไว้ให้ใจมันเย็น
อาจารย์ชี้แนะด้วยครับ
ว่าควรพิจารณาแบบไหนให้มองเห็นใจ
ให้ใจมันเย็นแบบเย็นจริงๆ
ไม่ใช่เย็นแบบแค่ข่มกดเอาไว้ครับ…

พระอาจารย์>>> ตอบคุณนธีนะครับ

การโกรธเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิต

มันไม่ได้ผิดศีลข้อไหน
มันเป็นเรื่องทางใจ ที่โดนกระทบ

ที่ต้องใช้สติและปัญญา
ในการเข้ามา และพิจารณา สอดส่อง

ความโกรธจึงจะทุเลาเบาบางลงมาได้

การข่ม ย่อมเป็นคนมีสติระดับหนึ่ง
แต่การเข้าใจนี้ ไม่ต้องข่ม

เราเคยเห็นแม่ค้าโกรธไหม
บางครั้งเขาแสดงอะไรออกมา
เรามองแล้วไม่กล้าทำ

แต่ที่เขากล้าทำ เพราะเขาขาดสติ

สมาธิเขาไหลร่วมลงไปในกระแสโกรธ
จึงแสดงพฤติกรรมไม่น่าดูออกมา

แล้วถ้าเป็นเรา เราจะทำไหม

การพิจารณาอย่างนี้อยู่เนื่องๆ
มันจะทุเลาลงไปได้
มันจะเบาบางลงไปตามปัญญาแห่งการพิจารณา

แต่ยังไงก็ต้องมีผู้ชี้ผู้อธิบาย ปุถุชนด้วยกัน อธิบายยังไงก็โกรธ มันไม่ฟังกัน

ความโกรธนี่ เป็นธรรมขั้นอนาคามี
อนาคามีข่มโกรธได้อย่างเด็ดขาด

เรายังเป็นปุถุชน ก็มีโกรธกันเป็นธรรมดา

พระโสดาบัน ท่านก็มีโกรธอยู่เต็มหัวใจ

พระสกิทาคามี ความโกรธท่านเบาบางลงมา เพราะมีสติมากขึ้น

พระอนาคามีนี่ ข่มความโกรธได้อย่างเด็ดขาด

ส่วนพระอรหันต์ ท่านเข้าใจในอาการของความโกรธ ว่าเป็นธรรมดาของเหตุปัจจัย

ท่านจึงเลือกกาละเทศะของความโกรธได้
แต่คนทั้งหลาย มักใหลลงไปในกระแสแห่งโกรธ

คนที่จะทำให้ความโกรธทุเลา เบาบาง จางคลายลงมาได้

คือคนประเภทที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ

เริ่มจากการลดอัตตาและทิฏฐิตา
หัดฟังเหตุผล ของฝ่ายตรงข้ามที่ขัดแย้งใจของตนบ้าง

ยอมรับความคิดเห็น
และการกระทำของผู้อื่นบ้าง
นึกถึงใจเขาใจเราบ้าง

สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ใจเราคลายความโกรธลงมา

เมื่อพิจารณาและกระทำอยู่เนืองๆ

เราก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงอาการแห่งความโกรธ ที่มันมีเป็นธรรมดา

เราก็จะไม่ใหลไปใรกระแสมากมาย จนเป็นเหตุให้ตัวตนต้องเดือดร้อน

โกรธตัดไม่ได้ มันเป็นอาการธรรมชาติแห่งใจ ที่มีหน้าที่ ปกป้องดูแลรักษารูป

คนที่ดูไม่โกรธ..เป็นเพราะเขาไม่ถึงทิฏฐินี่อย่างหนึ่ง

หรือไม่ก็ตอแหลเพื่อให้ผู้ดูเห็นการแสดงแห่งตน..

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

วันที่ 25 ตุลาคม 2561