******* “ปัญหาฟุ้งซ่านที่แก้ไม่ตกในสมาธิ” *******
ขอกราบเรียนพระอาจารย์ธรรมกะครับ
ผมปฏิบัติทางสมาธิมายี่สิบกว่าปี
ปัญหาคือความฟุ้งซ่านทางด้านความคิด มันมีอยู่เสมอ
ดูเหมือนยิ่งสงบใจก็ยิ่งคิด
ผมจะทำยังไงกับความคิด ที่มันไม่ยอมสงบไปตามการปฏิบัติมาอย่างยาวนานบ้างครับ
ขอพระอาจารย์โปรดชี้แนะครับ..
>>>> หวัดดีอาจารย์เอก..!!
ปัญหาของอาจารย์เอก คืออุปทานในสมาธิ อาจารย์เอกเคยชินกับความสงบในสมาธิ
เมื่อเกิดรวามไม่สงบ อาจารย์เอกจึงเดือดร้อน จากความไม่สงบในอาการที่เกิด
พุทธศาสนา ชี้ให้เห็นหนทางแห่งความเข้าใจในพฤติกรรมธรรมชาติน่ะ..
ความสงบที่เราเสพ มันก็เป็นอาการหนึ่งของจิต
ความไม่สงบ มันก็เป็นอาการหนึ่งของจิต
อาจารย์เอก ไปยึดฟากใดฟากหนึ่งด้วยตัวตนแห่งอัตตาของตัวอาจารย์เอกเอง
ความสงบเกิด อาจารย์ก็ยึดเข้าไปเป็นเจ้าของ
ความไม่สงบเกิดขึ้น อาจารย์ก็ยึดเข้าไปเป็นเจ้าของ
ความชอบใจและไม่ชอบใจในอาการแห่งจิตที่ปรากฏ
อาจารย์เอก หลงเข้าไปยึดในความเป็นเจ้าของหมดเลย
นี่คือปัญหาของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่เข้าใจธรรมชาติในสิ่งที่มีที่เป็นของมันตามธรรมชาติ
ความคิดนี่…มันเป็นอาการธรรมดาของจิตน่ะ อาจารย์เอก
ความคิดนี่…เป็นอาหารเคี้ยวเล่นของมัน เราอย่าได้เข้าไปห้ามให้เสียเวลาเลย
สมัยแรกๆที่มันสงบ นั่นมันเป็นอำนาจของกำลังแห่งฌาน เรียกว่าความชำนาญ
ทีนี้พอกาลผ่านนาน ความเคยชินมันก็สะสมบังเกิด
ความเคยชินนี่แหละ มันทำให้อาการต่างๆที่เรียกว่าความคิด มันผุดออกมาทำงานของมัน
ความคิดต่างๆ ที่ผุดออกมาของอาจารย์เอก
หากกำลังปัญญาเราน้อย เราก็จะเข้าใจว่า นี่เจ้าของกำลังฟุ้งซ่าน
ความฟุ้งซ่านตรงนี้นี้ สำหรับผู้ฝึกจริงจังมาอย่างยาวนาน
มันคนละตัวกับความฟุ้งซ่านของผู้เริ่มฝึก หรือฝึกมาไม่นานที่เรียกว่า นิวรณ์
เพราะความที่อาจารย์เอกเข้าไปยึดและเป็นเจ้าของอาการสงบ ที่โดนย้อมมากว่ายี่สิบปี
อาจารย์เอกย่อมไม่พอใจ ในอาการไม่สงบแห่งจิตที่เป็นความคิดมันผุดขึ้นมา
มีอาจารย์ทางสมาธิหลายท่าน ที่มีอาการแบบอาจารย์เอก
คือทึบตันไปต่อไม่ได้ ดูเหมือนเหล่าลูกศิษย์จะมีสมาธิล้ำหน้า
นี่เป็นเพราะว่า เหล่าผู้ปฏิบัติมาหลายปี เอาความเป็นอัตตาเข้าไปเป็นเจ้าของอาการที่มันเกิดเป็นธรรมดา
ไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของอาการแห่งจิต ที่เป็นธรนมดาของมัน
ความคิดนี่..เป็นอาหารแห่งจิต ที่มันปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องอยู่
นักสมาธิ ที่เห็นจิตตนเองปรุงแต่ง เข้าใจว่าตนนั้นมันเกิดอาการฟุ้งซ่าน
ที่จริงการเห็นอาการฟุ้งซ่านนั่น นั่นแหละครับ ท่านมีสมาธิ
เพราะมีสมาธินี่แหละ ท่านจึงได้มองเห็นและสำผัสกับมัน
หากไร้สมาธิ เจ้าของจะมองไม่เห็นความฟุ้งซ่าน ที่มันมีที่มันเป็น ในความเป็นธรรมดาของมันตามเหตุปัจจัย
สำหรับนักสมาธิ ขอให้มีสัมปชัญญะตามรู้อาการคิดที่มันปรุงขึ้นมาเถิด
มันเป็นอาการสงบอย่างหนึ่ง ที่เจ้าของเอาสัมปชัญญะเข้าไปจรดจ่อ
ความคิดปรุงแต่งที่มีสัมปชัญญะเข้าไปจรดจ่อตามรู้นี่แหละ
มันจะเกิดปัญญาขึ้นมาในสมาธิให้กับเจ้าของ
ความสงบไร้การปรุงแต่งใดๆในสมาธินี่ ก็อย่างหนึ่ง
ความคิดปรุงแต่งหลากหลายที่เจ้าของเห็นและตามรู้นี่ ก็อย่างหนึ่ง
ทั้งสองอย่าง หากมีสัมปชัญญะจรดจ่อตามรู้
นี่เรียกว่าวิปัสสนาญานทางด้านสมาธิด้วยกันเหมือนกันทั้งคู่
เราเป็นเพียงผู้ดูครับอาจารย์ ไม่ใช่เจ้าของที่เข้าไปแสดงตัวว่า…กูเป็น..!!
พระธรรมเทศนา วันที่ 17 มิถุนายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง