เพราะตัวกูมี กูจึงมองไม่เห็นตัวกู..

เพราะตัวกูมี กูจึงมองไม่เห็นตัวกู..

1141
0
แบ่งปัน

เพราะตัวกูมี<<พระอาจารย์ : ทำไรกันเด็กๆ สงสัยนอนกันหมดแล้ว… >>ลูกศิษย์ : รอฟังเทศน์ค่ะ

<<พระอาจารย์ : เทศน์เรื่องไร ไม่เห็นมีใครเคยมีปัญหา เรื่องธรรมนี่ ถ้าไม่แตกฉาน มันก็พูดกันไปน้ำขุ่นๆ แม้ฟังมามาก จำมามาก มันก็ไม่แตกฉาน…

มันไม่เหมือนกับการรู้จำ รู้อ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจ เรื่องอื่นๆ เราอ่านเราจำได้เข้าใจได้ แต่มันไม่เหมือนธรรม เราจะพิจารณายังไง… มันก็เป็นแค่หลักการจำการท่อง

ท่องได้จำได้ แล้วมันก็ลืม หากไม่ลืมมีความชำนาญ มันก็ได้แค่ความจำที่เข้าใจว่าอย่างนี้ๆๆๆๆ แต่ใจเจ้าของ ไม่ได้เป็นไปด้วย อย่างที่ตนชำนาญและจำๆ มา

นี่.. ตรงนี้ ทางธรรมที่เราจะไปเข้าใจ มันจึงต่างจากที่เราเข้าใจ ในแบบความเข้าใจอย่างโลกๆ ตรงนี้ มันเกิดจาก…

ทางโลก… มันอาศัยสมมุติเป็นเครื่องดำเนิน

แต่ทางธรรม… อาศัยความเข้าใจว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นแค่สมมุติ ไม่ใช่ความจริง

ทีนี้… เราจะหาสมมุติจากความจริงที่เราเห็นๆ กันอยู่นี่ ได้อย่างไร ..??? ตรงนี้คือโจทย์ที่ใจเรา จะต้องตอบออกมาให้ได้..

การตอบโจทย์ตรงนี้ มันต้องอาศัยเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบหลายอย่าง

แต่ตราบใดที่ยังเป็น “ตัวกู” เป็นอยู่ละก็ .. ใจดวงนี้เข้าไม่ถึงธรรม ..

เพราะธรรมคือ ธรรมดาในสรรพสิ่ง ที่มันเป็นของมันอย่างนั้น

เมื่อมี “ตัวกู” เข้าไปขวางทางแห่งความเป็นธรรมดา.. สรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็เลยไม่เป็นธรรมดา ไปตามความเป็นเจ้าของแห่งใจดวงนี้…

เมื่อธรรมทั้งหลายไม่ใช่ธรรมดา การจะมีดวงตาเห็นธรรมมันก็เลยมืดบอด..

ความทรงจำทั้งหลายเรารู้อยู่แล้วว่า…

“.. พรากกันเป็นธรรมดา แก่เป็นธรรมดา เจ็บเป็นธรรมดา ตายเป็นธรรมดา ..”

นี่… เราดูเหมือนจะรู้ธรรมและเข้าใจธรรม แต่พอโดนผัสสะ เจ้าของใจต้องเผชิญเข้าให้

สิ่งที่คิดว่าธรรมดาทั้งหลายที่ท่องๆ กัน ที่จำๆ กันมันก็ไม่เป็น ธรรมดา..

ตรงนี้แหละ…. ที่เราเข้าถึงธรรม และมีดวงตาเห็นธรรมไม่ได้ ที่ไม่ได้ เพราะมันมีตัวกูนี่แหละ มักเข้าไปเป็นเจ้าของซะทุกที

เรามันไม่ทันตัวเราที่เป็นกู.. ที่ไม่ทันก็เพราะเราขาดการฝึกฝนทางด้านสติ เพื่อให้เกิดปัญญาญาณ

นี่.. ตรงนี้ทางโลกเขาไม่ทำกัน เมื่อไม่ทำกัน มันก็เข้าไปถึงธรรมไม่ได้ เมื่อเข้าถึงไม่ได้ มันก็ไม่มีดวงตาจะไปเห็นธรรม

ไอ้ที่เห็นๆ กัน มันเป็นจากความทรงจำแห่งตัวกู ที่มันไปเป็นเจ้าของนึกคิดเอา เมื่อมีเจ้าของนึกคิด ความเป็นธรรมดาในสรรพสิ่งมันก็เลยโดนบิดเบือนไป

ที่จริง… ก้อนหินก็คือก้อนหิน น้ำก็คือน้ำ มันไม่รู้ไม่ชี้ต่อการบงการของใครอยู่แล้ว

นั่น..ภูเขาลูกเบ้อเร่อ มันหนักไหม ไอ้ตัวกูมันบอกว่าหนัก

นี่..ภูเขามันไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้ตัวกูนี่ ไปบอกว่าหนัก มันรู้เรื่องอย่างกูๆอยู่คนเดียว ตกลงใครหนัก ระหว่างตัวกูกะภูเขานั่น..!!

ก็ไอ้ตัวกูนี่แหละหนัก มันหนักเพราะไปเสือกในทุกๆ เรื่อง ที่มันเข้าใจด้วยความเป็นตัวกู

นี่.. ทางโลกมันยึดสมมุติด้วยความเป็นตัวกูเป็นหลัก

ส่วนทางธรรมนั้น… ถอยออกมาจากตัวตนแห่งกูเป็นหลัก มันก็เลยสวนทางกัน เมื่อสวนทางกัน มันก็เลยไปกันไม่ได้ในทางธรรม

หากเราอยากมีดวงตาเห็นธรรม เห็นด้วยความเป็นจริงตรงตามสัจจธรรม ก็ขอให้เรา “.. ลด ละ เลิก ..” ความทะยานอยากแห่งความเป็นตัวกูลง…

เมื่อมันให้ความสำคัญแห่งตัวกูลงได้ ความเป็นจริงทั้งหลาย แห่งความเป็นธรรมดา มันก็จะโผล่ตอมาให้เห็น

นี่..จึงจะได้ชื่อว่า “.. เป็นมนุษย์ผู้มีดวงตาเห็นธรรม ..”

ก็ไม่ได้เห็นอะไรที่พิเศษแค่ไหนหรอก เป็นแต่หัวใจดวงนี้ มันมองเห็นความเป็นธรรมดา ที่มันเป็นของมันเช่นนั้นเองได้ชัดขึ้น

นี่..เราเห็นความเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง กันบ้างไหม…??

รีบแหกตาขึ้นมาดูบ้างก็ได้…!! ก่อนที่ข้าจะชีพสลายตายจากพวกเอ็งไป ไอ้น้องรัก ผู้พิทักษ์อวิชชา..

เออ..คืนนี้สวัสดี คุยกันไปหนุกๆ เท่านั้นเอง ขอสาธุคุณ

*********************************
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง