การไม่เอาอะไร ไม่ใช่วิถีแห่งความหลุดพ้น

การไม่เอาอะไร ไม่ใช่วิถีแห่งความหลุดพ้น

384
0
แบ่งปัน

******* “การไม่เอาอะไร ไม่ใช่วิถีแห่งความหลุดพ้น” *******

<<< พระอาจารย์ เมตตาขยายความ ผู้รู้ และทำลายผู้รู้ เพราะปัญญากระผมหน่อยนิด ไม่สามารถอธิบายให้หมู่คณะฟังได้แจ่มแจ้ง กราบมนัสการครับ

>>> ผู้รู้นี่ เป็นอัตตาตัวหนึ่ง ทำลายไม่ได้ มันเป็นโปรแกรมจิตรักษารูป

แต่เราใช้ปัญญาเข้าใจได้ว่า ผู้รู้เป็นอาการหนึ่งของอวิชชา

รู้จะสักแต่ว่ารู้ หรือยึดรู้ มันก็เป็นอาการของอวิชชาเหมือนกันทั้งสิ้น

เรื่องผู้รู้นี่ ที่เราเข้าใจกัน มันไม่ใช่ตัวผู้รู้ที่แยกออกมาโดยเจโตหรือวิปัสนาญาน

มันเป็นผู้รู้ที่เป็นอาการแห่งผลผัสสะที่เป็นเวทนา เรียกว่ารู้โดยวิญญานรู้

รู้ที่เกิดจากผัสสะเรียกว่าเวทนา เป็นวิญญานรู้ที่เป็นอัตตา เกิดจากสมมุติบัญญัติ

รู้เช่นนี้ มันเป็นกูรู้ทั้งนั้น รู้แบบอาศัยผัสสะทางอายตนะ

ฉะนั้น คำว่าผู้รู้แก่คนทั้งหลาย มันก็คืออัตตา ที่มีเจ้าของเข้าไปรู้โดยไม่ถอดถอน

การทำลายผู้รู้นี่ เป็นความหมายของการเข้าไปเข้าใจในอาการของกระบวนการแห่งผู้รู้

ว่าความเป็นผู้รู้ทั้งหลาย มันเป็นอัตตา และทำลายมันไม่ได้

เมื่อเข้าใจตรงตามความเป็นจริง เจ้าของก็จะวางผู้รู้โดยธรรมชาติของมัน ด้วยความเข้าใจในความเป็น ตถาตา..!!

<<< ทุกอย่าง เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะมันเป็นอนัตตาของมันอยู่แล้ว

เราขึ้นตรงต่อธรรมไปเลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันเป็นการซ้อนกรรมเข้าไปอีก..ฯ

พระอาจารย์ว่าเขามีธรรมคลาดเคลื่อนไหม..??

>>>> เขาเข้าใจตรงเกินไป และไม่เข้าใจว่าอะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา

วิธีคิดเช่นนี้ ในลัทธิเดียร์ถีย์เขาก็คิดกัน

การที่ปล่อยวางไม่ทำอะไรเลยด้วยความเข้าใจว่า ทุกอย่างมันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้วนี่

มันเป็นวิธีที่โต่งและผิด

การเข้าใจธรรมดาน่ะถูก แต่วิธีเข้าถึงความเป็นธรรมดาน่ะผิด

คนที่จะเข้าถึงธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ปล่อยไปตาม ความเข้าใจเช่นนั้น

ธรรมไม่ได้เกิดเพราะไม่ทำอะไร เพราะเหตุแห่งการเกิดกรรมซ๊ำ

ไม่ได้เกิดเพราะตรึกตรองเอาเอง

ไม่ได้เกิดเพราะเชื่อว่านั่นนี่

ไม่ได้เกิดเพราะทำหรือไม่ทำ เคร่งหรือไม่เคร่ง คิดหรือไม่คิด ไม่ใช่อย่างนั้น

ทั้งหมดที่เขาสาธยายมา มันเป็นอัตตาทั้งดุ้น คือ การเอาตัวตนเข้าไปเข้าใจว่า มันเป็นของมันอย่างนั้นอย่างนี้

แล้วมีทิฏฐิว่า ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เพราะการกระทำ เป็นการซ้อนกรรมขึ้นมาอีก

คำสอนเช่นนี้ ผู้ชี้ไม่เข้าใจว่า การไม่ทำอะไรเลยก็เป็นกรรม มันเป็นการเสวยผลแห่งกรรมที่ไม่ทำอะไร

เป็นการไหลไปทางกระแสใจ ที่เป็นสมุทัย เพราะเอาตัวตนเข้าไปเข้าใจและเป็นเจ้าของในผลที่ตนคิดอละจินตนาการ

มันเป็นการย้ายจากจุดด้านซ้ายที่คิดว่าไม่ดี ที่เป็นการกระทำ ไปสู่จุดด้านขวา ที่ไม่ทำ ไม่สร้างกรรม บนไม้กระดานอัตตาแผ่นเดียวกัน

ถูกต้องในระดับหนึ่ง ที่เป็นความเข้าใจ ไม่ให้ใจตนเดือดร้อน

เป็นศีลอย่างหนึ่ง ที่ปรารภโลกและปรารภตนเอง

ยังไม่ใช่ศีลแห่งการปรารภธรรม เพื่อการหลุดพ้น

อีกัวน่าที่ลี้ยงไว้ วันๆมันก็ไม่เอาอะไร มันเฉย นิ่งสงบ ไม่สนใจอะไรแม้อาหารที่วางตรงหน้า

มันก็ยังเป็นอีกัวน่าที่ยังเป็นสัตว์เฉยๆอยู่เช่นนั่น เพราะเหตุของมันคือเดรัจฉาน

การขึ้นตรงต่อธรรมโดยไม่ทำอะไรหรือเอาอะไร

มันเป็นอัตตาตัวตน ที่เป็นธรรมเข้าข้างกิเลส

และมันก็จะตายไป โดยไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความหลงในอัตตาว่า…

สรรพสิ่งทั้งหลาย มันอนัตตาของมันอยู่แล้ว ความคิดนี้นี่เป็นอนัตตาโดยอัตตา

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นและเข้าใจในสรรพสิ่งด้วยความมีปัญญา

ไม่ใช่เอาตัวตนแห่งจอมอัตตาเข้าไปเป็นในสรรพสิ่งที่มี

เพราะสิ่งที่เขาแสดงอยู่นั้น มันเป็นการเอาตัวเข้าไปเป็น
และเข้าใจเอาทั้งสิ้น

ยังไม่ใช่ธรรมแห่งการหลุดพ้นอะไรซักนิดเลย…!!

เพราะเขากำลังแสดงว่า เขาเป็นของเขาและเข้าใจ ว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ๆ

นี่แหละ…อัตตาที่เป็นสมุทัยล้วนๆเพราะยึดดี ด้วยการไม่เอาอะไร..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง