ชี้ธรรมให้ผี ท่อนที่ 7

ชี้ธรรมให้ผี ท่อนที่ 7

351
0
แบ่งปัน

**** “ชี้ธรรมให้ผี ท่อนที่ 7” ****

เรามาโม้เรื่อง ผีท่านอั๋นต่อดีกว่า ถึงไหนแล้วหว่า..

เมื่อผีท่านอั๋น โดนย้อนชี้ ว่า สิ่งที่จะกระทำไปนั้น ผล..ยังไม่แน่

และใจท่านก็เห็นจริงตามนั้น ใจก็เลยลง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

>> ข้าก็เลยบอกไปว่า อั๋น… ธรรมดา อั๋นติดตามร่างเจ้าแก้ว ใช่หรือไม่

<< อั๋นบอกว่าใช่

>> แล้วตอนติดตาม อั๋นอยู่ที่ไหน

<< เขาบอกว่า เขาอยู่ในทุกที่ ที่เป็นเจ้าแก้ว

>> ข้าบอกว่า หากเจ้าแก้วตายไป อั๋นจะอยู่ตรงไหน ยังไงกับเจ้าแก้ว

<< เขานิ่งเงียบ น้ำตาไหล

>> นี่..ไม่แน่นอนเลยใช่ไหม หากไม่มีร่าง ที่เจ้าแก้ว อาศัยอยู่

<< เขาพยักหน้า เริ่มสะอื้น

>> อั้นมีสภาพเป็นอะไร ในตอนนี้

<< เขาบอกว่า เขาเป็นอากาศ

>> แล้วอากาศมันมีสมองไหม

<< เขานิ่ง และส่ายหน้า

นี่..เป็นความจริง ที่ทั้งคนและผี ต่างไม่รู้ ความจริงที่ว่านี้ก็คือ ผี..ไม่มีสมองคิด

สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ไม่เรียกว่า ความคิด เขาเรียกว่า ความทรงจำ

ความทรงจำนี่ มันปรุงแต่งแตกออกไป ไม่รู้จบ นี่..คือปัญหาของผี คือ…คิดไม่เป็น

มันปรุงแต่งไป ไม่รู้ว่า สิ่งที่กระทำ ถูกหรือผิด กับใคร

มันยึดอาการแห่งการปรุงแต่งออกไปเรื่อย มันก็เหมือนกับคนทั้งหลาย

ที่เอาความรู้สึกที่มี ความทรงจำที่มี ปรุงแต่งออกไปเรื่อย

ผีก็เหมือนกัน หากจิตดำเนินมาทางมิจฉา มันก็ก่อไปเรื่อย หากจิตดำเนินมาทางสัมมา มันก็ดับไปเรื่อย

>> จึงบอกกับผีท่านอั๋นว่า ในเมื่อ ตัวท่าน เป็นอากาศวิญญาณ ท่านอาศัยอยู่ในรูปไหนก็ได้ใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ใช่

>> งั้นอั๋น อยู่ในเสื้อผ้าได้ไหม

<< เขาบอกว่า ได้

>> ในรูปภาพ หนังสือ หรือของใช้อะไรต่างๆ ก็อยู่ได้ใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ได้

>> งั้น..ทำไม อั๋นไม่อยู่ตรงไหนอะไรซักที่ ที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าแก้วละ จะมาเอาชีวิตมันไปทำไม

<< เขาบอกว่า บางที่ มันก็ตามเจ้าแก้วไปไม่ได้ มันมีพลังงาน ที่รุนแรง คอยกีดกัน ต้องรอเจ้าแก้วกลับออกมา

ซึ่งเป็นช่วงที่เขาทุรนทุราย ทนไม่ได้เป็นที่สุด ที่ต้องจากกันโดยที่ไม่ได้เห็นเจ้าแก้ว

เขากลัวเจ้าแก้ว จะทิ้งเขา เขามีความทรงจำ ความคิดได้แค่นี้

>> ข้าจึงบอกว่า อั๋น แก้วมันมีบ้าน มีห้อง มันต้องนอน ต้องกลับ มีลูกที่ต้องดูแล นี่คือ วิถีของชีวิตประจำวัน

<< หลวงพี่เข้าใจ ว่าเรื่องจิตนี้ เป็นยังไง

>> มันยึดอะไรไว้ มันก็จะไม่ผ่อนอะไรให้ ความเห็นจริง มันเกิดขึ้นได้เลย

ตอนเป็นคน ก็เหมือนกัน เมื่อจะเอาอะไร มันก็มุ่งอยู่เช่นนั้น

เอาแต่ตัวตนเข้าไปเป็น มันจึงไม่มีสติมายั้งคิดอะไรได้

แม้ผี..ก็เหมือนกัน หากชี้ไม่ตรงกับเจ้าตัว ใจมันไม่ยอมลง

แม้ชี้ตรง แต่หากต้อนจิตไม่ได้ จิตมันก็ไม่ยอมลงเช่นกัน

เรื่องจิตนี้ มันละเอียดลึกซึ้ง ยากแก่การตามรู้ ไม่ว่าใคร อย่าได้พึงทำเก่ง

ว่าเป็นคนเข้าใจและรู้เรื่องจิตอะไรเลย มันจะแฉความโง่ออกมาเสียเปล่า

>> ข้าจึงบอกผีท่านอั๋นไปว่า ให้อั้น อยู่ที่รูปของอั๋น ที่หัวเตียงเจ้าแก้วก็ได้ จะได้เห็นหน้ากันทุกวัน อั๋นทำได้ไหม

<< เขาบอกว่า เขาทำได้ แต่ตอนเจ้าแก้วไม่อยู่ เขาจะทำไง

>> เราก็รอซิอั๋น เดี๋ยวแก้วเขาก็มา ยังไง เขาก็ต้องกลับบ้าน

ท่านอั๋นนิ่ง.. ที่นิ่งนี้ ข้าจะอธิบายให้ฟัง ที่เขานิ่ง เพราะเขาไม่ยอมรับ

ที่เขาไม่ยอมรับ เพราะ ของเขา ไม่มีกาล ของเรา มีสมมุติ จากการผัสสะ เวลา

อาศัยกลางวัน กลางคืน ของการหมุนรอบๆ ตัวเองและดวงอาทิตย์

แต่พวกผี เขาไม่มี กาลพวกนี้ เมื่อไหร่ที่จาก แม้แค่ นาทีเดียว เขาก็ถือว่า จากไปแล้ว หายไปแล้ว

ไม่รู้เมื่อไหร่ จะได้พบเจออีก

มันไม่มีคำว่า นานหรือไม่นาน เราจะเอา เวลาสมมุติของ วันเวลาเรา ไปเปรียบเทียบภาวะของเขาไม่ได้

เราคิดเท่าไหร่ ผิดจากที่เขาเป็นเท่านั้น

เพราะนี่ เป็นเรื่องแห่งจิต มันไร้กาล อย่าเอากาลของเรา ที่เป็นสมมุติ

ไปตัดสินหาเหตุหาผลกับเขา ผิดหมด ข้าเผชิญมาเช่นนี้

ครั้งหนึ่ง ข้าได้เจอผีฤษี ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่ของข้า ข้าน่ะ ไม่รู้จักเขาหรอก แต่เขา รู้จักข้า

เขาบอกว่า หายไปหน่อยเดียวนี่..เปลี่ยนรูปใหม่อีกแล้ว

รูปเก่า สวยจะตาย รูปใหม่นี้..ไม่ได้เรื่อง และเราก็ได้ถกธรรมกัน ข้าถึงได้รู้ว่า

คนโบราณ เขามีธรรมอันน่า พิศวง ลึกซึ้ง

เป็นธรรมที่ละเอียดละออ แต่บรรลุมรรคผลไม่ได้

ที่บรรลุไม่ได้ เพราะเสือกไปยึดและมั่นหมาย ในธรรม

คือ..อยากเป็น พระพุทธเจ้า

ความอยากนี้ ทำให้ เข้าไม่ได้แม้แต่ ขั้น โสดาบัน

แต่ความรู้ธรรม มีปัญญาระดับ อรหันต์

นี่..ข้าเจอมา เป็นเพื่อนข้าเอง

เกิดครั้งล่าสุด ในยุคของ พระพุทธ กัสสปะ และข้าก็เกิดพร้อมด้วย

เคยเป็นฤษีมาด้วยกันแต่ครั้ง ยุค พระโกนาคม

ข้าได้เจอพระพุทธองค์ และได้รับคำพยากรณ์

เราต่างเป็นพุทธภูมิ ที่เป็นประเภท ปัญญาธิกะ

แต่แค่ผ่านมา สองพระพุทธองค์ ข้าปราวนา ลาพุทธภูมิ และลาต่อหน้าพระพุทธองค์ท่าน

ธรรมทั้งหลาย ที่ได้สร้างสม จึงหลั่งไหล ลงมารวม ในปัจจุบันชาตินี้หมด

แต่เพื่อนข้า ยังเป็นอากาศวิญญาณฤษี รอไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ก็คงอีกนาน

แต่เขาไม่มีกาล ก็เลยหาอะไรมาเทียบ นานไม่นานไม่ได้

เพราะตั้งแต่การจากกันครั้งนั้น กาลผ่านไปแล้ว 16 อัตตกัปป์

1 อัตตกัปป์ เอาเลข 1 ตั้ง ตามด้วยเลข 0 ร้อยสี่สิบลูก

นั่น..เป็นจำนวนปี แห่งสมมุติเรา ภาษาเรา ต้องพูดว่า …นานชิ๊บหาย นานโคตรๆ

ข้าเกิดผ่านมาเป็นล้านๆ ชาติ เพื่อนข้า ยังไม่ได้เกิดซักชาติ

เขาจึงมีความทรงจำ เพื่อนคนนี้ได้

จำได้แต่ครั้ง เป็นฤษีด้วยกัน เมื่อสมัย พระพุทธกัสสปะ
พระพุทธเจ้าองค์ก่อน

ซึ่งเป็นองค์ที่สาม ของมหากัปป์นี้

นี่..เรื่องกาล

ผีท่านอั๋นก็เช่นกัน เวลาจากแค่นิดหน่อย เขาไม่มีสมมุติแห่งกาล

เขากลัวและยึด แต่ความไม่อยากพราก ทำให้เขา มืดมัวตรงนี้

>> ข้าจึงบอกว่า สมัยเป็นคน มันก็มีกลางวันกลางคืน ใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ใช่

>> ยังไง คนก็ต้องกลับมานอนบ้านใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ใช่

>> เวลาออกไปทำงาน หรือเข้าส้วม มันใช้เวลาไม่นานเลยใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ใช่

>> งั้นแสดงว่า..ตราบใด ที่เจ้าแก้วยังไม่ตาย ยังครองรูป ท่านก็ยังได้พบเจออยู่เสมอๆใช่ไหม

<< เขาบอกว่า ใช่

>> งั้น..ท่านไม่ได้จากแก้วไปไหนหรอก และแก้วก็ไม่ได้จากท่านไปไหนหรอก

มันย่อมมีบางกาล มันแค่แยกจากกัน ไปตามเหตุและปัจจัย

แต่ถ้าเข้าใจ เดี๋ยวมันก็หวลกลับมาพบเจอกัน

มันไม่ได้หายไปไหน ท่านเห็นชัดไหม

<< เขาตาโต หยุดร้อง และบอกว่า ใช่ๆๆๆๆๆ

>> งั้น อั๋นก็อยู่ตรงไหนก็ได้ ที่ห้องของแก้ว อั๋นก็จะได้เห็นแก้วทุกวัน

หากอั๋นอยากติดตาม อั๋นก็ติดตามแก้วได้ แค่กำหนดจิต

เมื่อถึงตรงไหน ที่ตามไม่ได้ อั๋นก็กำหนดกลับไปรอที่รูป

รูปที่อั๋นเอาเป็นสมมุติเครื่องอยู่ อย่างนี้ดีไหม

เจ้าแก้วก็จะได้ ไม่สลายไปไหน เพราะโดนอั๋นทำลาย

อั๋นก็ไม่ต้องเป็นบาปเป็นกรรม

ที่สำคัญ อั๋นก็ได้อยู่เคียงข้างแก้ว ได้ตลอดไป อย่างนี้..ดีไหม

ผีท่านอั๋นยิ้มออกมา เป็นครั้งแรก และพยักหน้า

เขาเพิ่งเห็นช่องทาง ความคิด ที่ดีกว่า ลำพังเขา คิดออกมาไม่ได้ อุปาทาน มันขวางกั้น

แต่เมื่อได้รับการชี้แนะ และมีจิต ที่โดนต้อน จนย้อนใจตนเอง เห็นตรงตามความเป็นจริง อาศัยเครื่องมือ คือรูปของเจ้าแก้ว

การลบล้างโปรแกรม แห่งอุปาทาน มันก็เลยเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุปัจจัยแห่งวิบาก มันอำนวยผล

เมื่อผีท่านอั๋น เห็นแจ้งในความเป็นจริงชัด

จิตอุปาทาน เขาก็คลาย เลยกลับกลาย เป็นจิตอีกฟากหนึ่ง ที่แสดงออกมาแห่งความยินดี

นี่..เป็นจิตที่กลับมาเป็นฟากกุศล หากสิ้นอายุขัยแห่งวิญญาณตอนนี้….ไม่ลงนรก ไม่ไปมืด

นี่…คือเรื่องจิต ที่เรามัก ไปทำตัวเป็นเจ้าของ

สำหรับคืนนี้ คงพอแค่นี้ พรุ่งนี้ ค่อยโม้ต่อ ว่า เมื่อจิตพลิกกลับมาเป็นกุศล ทำไม จิตที่มุ่งแต่จะฆ่า จึงสลายไป ก็ค่อยว่ากันต่อ สวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง