***** “นิพพาน ไม่ใช่ความว่าง” *****
หวัดดียามสาย…
ธรรมเหล่านี้แต่ละวันที่แสดง เป็นธรรมที่เข้าใจธรรมชาติอันเกิดจากประสบการณ์
ตำรานั้นเป็นเสมือนลายแทง ที่จะนำเราไปในเส้นทาง
แต่ปัญหาคือ ตำราเกิดจากการแปลของผู้เรียน ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจของผู้ปฏิติบัติ
ฉะนั้น..ตำราทั้งหลาย เราควรวินิจฉัยขยายเหตุผลออกมา ให้เดินไปตามร่องธรรมแห่งความเป็นจริง
เชื่อโดยไม่ได้ตรึกตรองนี่ ไม่ใช่วิสัยพุทธ
มันขึ้นอยู่กับปัญญาในแต่ละคน
ชีวิตนั้นสั้นและมีกาลไม่ยืนยาว
แต่เราไม่สำเหนียกกับสิ่งเหล่านี้
พุทธเราหลายสำนัก ปฏิบัติโดยใช้ความว่าง การนิ่ง สงบ โดยไม่คิดไม่นึกอะไรเป็นสรณะ
อาการเช่นนั้น แต่เดิมมาของเหล่าเดียรถีย์
เขาก็ปฏิบัติกันอยู่มาก่อนพุทธจะเกิดขึ้นมา
มันเป็นธรรมชาติที่ง่ายเกินไป ในการปฏิบัติ
มันเป็นการเอาตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของ การปรุงแต่งจิต
และที่สำคัญ ครูบาอาจารย์เก่าๆเราก็ชี้สอนกันมาในร่องหนทางเช่นนั้น
คือ อยู่กับความว่าง ไม่คิดอะไร
ความว่างที่ไม่คิดอะไร ไม่เอาอะไร ไม่ทำอะไร
ต่างล้วนแล้วแต่เป็นธรรมขั้นเด็กน้อยที่เริ่มฝึกใจ ให้ยอมรับและต้านทานในสิ่งที่มาผัสสะทั้งสิ้น
พุทธะนั้นเป็นเรื่องของปัญญา
ไม่ใช่ความนิ่งเฉย หรือรู้มากจดจำธรรมพระสูตรอย่างมหาศาล
ครูบาอาจารย์ผู้เห็นธรรมแห่งสัจธรรม
เมื่อถึงจุดที่สุด ต่างมีความเห็นลงร่องเดียวกันว่า
ธรรมทั้งหลายมันมีเหตุมีผลเป็นเช่นนี้ๆๆ
มนุษย์ทั้งหลาย ใครผู้ใดจะเข้าไปเห็นได้เล่า
จึงมีความน้อมลงในในทิศทางที่จะไม่ไปสั่งสอนชี้แนะใคร
แต่สติระลึกได้ว่า
แม้ตัวท่านเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน
ทำไมใยตัวท่านถึงรู้ธรรมอันแยบคายเหล่านี้ได้เล่า
มนุษย์นั้นดุจบัวสี่เหล่า
มันยังมีมนุษย์บางเหล่า ที่เป็นบัวพ้นน้ำ
รอแค่ฉายตะวันสาดแสงกระทบเข้า
เธอผู้พ้นน้ำก็พร้อมเบ่งบาน
บางพวกก็เป็นบัวปริ่มน้ำ…พร้อมที่จะบานเมื่อกาลมาถึง
บางพวกก็เป็นบัวกลางน้ำ…ที่สุดเมื่อใช้ความพยายาม
เขาก็พร้อมขึ้นไปเป็นบัวปริ่มน้ำ และพ้นน้ำพร้อมจะบานได้
แต่เหล่าบัวใต้น้ำนี่ซิ…กว่าจะพ้นน้ำได้
คงต้องผ่านเต่า ปลาที่คอยมาแทะกิน ให้สิ้นตูมดอก
โอกาสจะรอดเป็นบัวพ้นน้ำ ยากเย็นเต็มที
พวกเรา..เป็นบัวเหล่าไหนเล่า
บัวพ้นน้ำในหมู่พวกเราเขาก็ยังมี
ด้วยเหตุแห่งวิธีนี้
ธรรมทั้งหลายจากผู้ชี้ จึงมีคุณที่ปรากฏแก่ใจย่อมไม่เสมอกัน
แต่พุทธะ..ไม่ใช่เรื่องทำใจให้ว่างหรือไม่คิดอะไรไม่ทำอะไร ด้วยความเข้าใจแห่งตัวตนว่าเช่นนั้นเช่นนี้แน่
อย่าเป็นผู้แก่ด้วยความว่าง
พึงเป็นผู้แก่ด้วยปัญญาญานที่เข้าใจถึงเหตุและปัจจัยในสิ่งที่สังขารมันปรุง..
ข้าอยู่ป่าปฏิบัติอย่างเอกอุ เอาเป็นเอาตาย
สมัยหนึ่งระลึกขึ้นมาได้ว่า กายนี้ที่ใจครอง
มันเคยตายเพราะความว่างที่ตนยึด
ไม่รู้ว่าจะกี่ภพกี่ชาติแล้ว
มันไม่ได้พ้นทุกข์ มันยังวนเวียนกลับมาสู่สัญญาเดิมๆ
ความว่าง ไม่เอาอะไร ไม่คิด ไม่สร้างกรรมอะไรในความเข้าใจ
มันเป็นเป็นปัญญาที่หยุดอยู่กับที่ ไม่มีปัญญาอะไรพอกพูน
มันสงบลงแค่อัตภาพ เพราะมีตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ
และข่มมันไม่ให้กระเพื่อมในตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เพื่อให้ดูว่าว่าง ไม่เอา และไม่ทำ
ที่สุดเราจะตายฟรี ด้วยกิเลสตัวนี้ เพราะเป็นเรื่องอัตตาแห่งเราทั้งดุ้น
มันไม่ได้ทำความเข้าใจเครื่องมือชิ้นนี้ที่ก่อรูปเกิดกำเนิดมา เพราะเหตุอันใด
และจะดับมันด้วยเหตุอันใด เพื่อไม่ให้มันเกิด
มันแค่อาศัยร่างกายอยู่เพื่อทำใจว่างๆ
มันเข้าใจว่า การทำตัวว่างๆ เป็นหนทางดิ่งไปสู่นิพพาน
นี่..เป็นธรรมเด็กน้อย ที่เข้าใจด้วยการคิดเอาและกระทำมันขึ้นมา
ไม่ได้เรียนรู้ที่จะเกิดปัญญาเข้าไปตีอวิชา
มันไม่รู้ว่า อวิชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง…!!
พระธรรมเทศนา วันที่ 22 มีนาคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง