นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 2

นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 2

320
0
แบ่งปัน

****** “นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ ท่อน 2” ******

เมื่อวานว่าถึงอาการทางวิบากจิตที่ส่งผลต่อการนั่งสมาธิ

อันที่จริงมันมีเหตุปัจจัยหลากหลายมาก ที่จะทำให้เกิด เราจะชี้ชัดลงไปว่าเพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้ไม่ได้

แต่รวมๆแล้ว มันเกิดจากจิตปรุงแต่งอันมีเหตุมาจากวิบากบันทึกที่มาจากกรรมทั้งสิ้น

กรรมทางกาย วาจา ใจ ที่บันทึกผล จากช่องต่อทางอายตนะ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สำผัส อารมณ์

วิบากจากทางกรรมเหล่านี้ ส่งผลให้เจ้าของ เกิดการปรุงแต่งต่างๆทางจิต ในขณะที่จิตเป็นสมาธิ

ข้านี่ทำสมาธิจิตมาอย่างยาวนาน แต่การปฏิบัตมาอย่างยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวการันตี ช่วยให้ผู้ปฏิบัตเกิดปัญญาอะไรมากมายหรอก

ปัญญานี่ มันอีกอย่างหนึ่ง มันแค่อาศัยการมีสมาธิ ปัญญาไม่ใช่ทำสมาธิแล้วเกิด อย่างที่เราเข้าใจกัน

ไม่งั้นพวกฤษี พวกเดียร์ถีย์ พวกพราหมณ์ที่เขาเคร่งๆ คงบรรลุมรรคผลกันไปหมดแล้ว

สมาธินี่ก็อย่างหนึ่ง ปัญญาก็อย่างหนึ่ง เราทำสมาธิเล็กน้อย ก็สามารถเป็นกำลังให้เกิดปัญญาได้

ไม่ทำสมาธิอะไรเลย มันก็เกิดปัญญาได้ ไม่ใช่เป็นนักสมาธิแล้วดูถูกพวกไม่ทำสมาธิ ว่าโง่ งี่เง่า เข้าถึงมรรคผลไม่ได้ ชนเช่นนี้นี่ เลววว..!!

คนฝึกสมาธินี่ มันเป็นช่องทางเข้าสู่ความเป็น เจโตวิมุติญานได้

ส่วนคนมีปัญญาอยู่แล้วจากการสร้างสม ก็สามารถเข้าสู่ปัญญาวิมุติญานได้

จิตที่สงบ เกิดจากปัญญาที่ไต่ตรองก็ได้ เกิดจากการเพ่งจิตก็ได้ สงบได้เหมือนกัน

สงบด้วยปัญญานี่ เกิดจากความเข้าใจในเหตุในปัจจัยที่ผลมันเกิด

สงบจากสมาธินี่ เกิดจากสติเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้จิตเกิดการหดตัว ระงับการปรุงแต่ง แต่มันยังมีปรุงแต่งนอกปรุงแต่งในอีก ก็ต้องอธิบายขยายกันไปอีก

เวลาจิตมันปรุงแต่งออกมานี่ มันจะปรุงแต่งมามาทางสมาธิซะส่วนมาก

ทางปัญญาน่ะ มันปรุงแต่งออกไปอีกแบบ คือฟุ้งซ่านทางความคิด ตีบตัน

ข้าเองนี่ เดินจงกรมเมื่อถึงตอนวินิจฉัยธรรม มันเป็นปัญญาที่อาศัยอำนาจสมาธิล้วนๆ

ขณะวินิจฉัย แม้กายจะเดิน ตาจะเปิดดูอยู่ แต่จิตไม่ได้ปรุงมาทางกายและจักษุที่เห็นเป็นภาพอะไรเลย

พอมีสติย้อนกลับมา ระลึกว่ากำลังเดิน รอบๆตัวจะขาวโพลนมองรูปอะไรไม่เห็น

ไม่เห็นภูเขา ไม่เห็นแผ่นน้ำ ท้องฟ้า เส้นทางที่เดินและแม้แต่ตัวเอง

เช่นนี้..เรียกว่าจิตมันหวลกลับมาสู่วิตก หากไม่สนใจจิตกลับไปวินิจฉัยต่อด้วยวิปัสสนาญาน

ปัญญาอันเกิดจากการวินิจฉัยในวิปัสสนาญาน มันก็จะดำเนินการต่อไปของมัน

แต่หากเกิดปริวิตกในอาการที่เป็น มันก็จะค่อยๆหวลกลับมาสู่โปรแกรมวิถีจิต ที่อาศัยผัสสะทางอายตนะเช่นเดิม

คือจากขาวสว่างโพลนรอบๆ ก็จะรู้สึกถึงตนตนเอง สิ่งต่างๆรอบตัวก็จะเริ่มเด่นชัดขึ้น

ระยะชั่วโมงแรก มองทางไหนจะเป็นฝ้าขาวกระจายไปทั่วคลองจักษุ

ผัสสะร้อน อ่อนแข็งก็ยังไม่ชัดเจนนัก เหมือนๆกับว่า แม้เราจะหยิกแขน มันรู้สึกแต่ไม่ค่อยจะเจ็บอย่างที่เคยเป็น

นี่..อาการจิตมันหดตัว ดับอายตนะทางรูปภายนอก เป็นอาการปรุงแต่งอย่างหนึ่งเหมือนกันในขณะเดินจงกรม

สิ่งเหล่านี้ ผู้เข้าถึงสมารถอธิบายออกมาได้หลากหลายสบายมาก เมื่อปัญญามันเกิด

มันก็จะสามารถแยกย่อยในสิ่งต่างๆที่บดบังจักษุเรา ให้กระจ่างชัดด้วยปัญญาที่เกิดวิปัสสนาญาน

เรียกว่าญานแจ้ง จักษุแจ้ง แจ้งในอวิชาที่มันบดบังมานานนับอนันตกาล ให้สว่างมองเห็นความเป็นจริงด้วยตัวมันเอง

เออว่ะ..นี่ข้าดันไปออกสมาธิและปัญญาขั้นปลายที่แสดงอาการ ขั้นต้นเราก็ยังโง่กะมันอยู่เลย

เดี๋ยวว่างแล้วมาคุยใหม่ดีกว่า นี่สายแล้วแล้ว เด็กๆรอกินข้าว แล้วเจอกันไอ้น้องนักธรรมทั้งหลาย…

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2559 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง