ทำสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน

ทำสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน

671
0
แบ่งปัน

****** “ทำสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน ” ******

หวัดดี…

เมื่อวานนี้ ข้าได้พาน้องๆ ไปนั่งสมาธิกันที่ในถ้ำ ข้าจะคุยให้ฟังถึงเรื่องการทำสมาธิ…

ข้านี่ ในฐานะเป็นผู้ทำสมาธิมาอย่างยาวนาน ได้เผชิญอาการทางสมาธิอย่างมากมาย

เมื่อวานนี่ ข้าให้นั่งเพ่งเทียนกัน การเพ่งเทียนนี่ จะทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย

เมื่อวานกว่าจะได้ไปถ้ำ ก็เกือบๆ หกโมงเย็น นั่งแพกันไป ไปถึงก็มืด หาทางเข้าถ้ำไม่ถูกอีก

ที่ไปนี่ ก็เพราะได้รับปากเด็กๆ มันเอาไว้ พวกเด็กๆ มันอยากไปนั่งสมาธิกันที่ถ้ำ

ที่จริงมันอยากไปเที่ยวถ้ำกันซะมากกว่า มันอยากไปถ้ำกะพระอาจารย์ มันคิดว่า มันอาจจะเจออะไรดีๆอย่างพวกผีเป็นต้น

ถ้ำที่ไปนั้น เป็นถ้ำที่ข้าเคยไปอยู่ภาวนา งดอาหารและสวดธรรมจักรฯ 108 จบอยู่หลายครั้ง

พลังงานที่นั้น รักข้ามากๆ เมื่อบอกกล่าวว่า ข้าจะนำเด็กๆ มาเยี่ยมถ้ำ พลังงานที่ดูแลถ้ำ ก็แสนยินดี

ส่งกลิ่นและอายเย็นออกมาต้อนรับตั้งแต่อยู่ท่าน้ำเลย

ทำให้ข้านี่ได้กลิ่นอายความเย็นของถ้ำตั้งแต่เอาแพเข้าไปจอด

เราปีนกันขึ้นไปแบบหาทางขึ้นถ้ำไม่เจอ แต่อายเย็นที่ส่งกระแสออกมา

ทำให้เป็นกลิ่นอายนำข้า ไปถึงถ้ำจนได้ ในความมืดมิดของราวป่ายามค่ำคืน

เมื่อปีนมาถึงปากถ้ำ ความเย็นฉ่ำของอายกระแสแห่งถ้ำ ส่งออกมาเป็นกระแสอย่างพรั่งพรู

ข้ารอให้ทุกคนขึ้นมาครบ และให้ปิดไฟเดินเข้าไปในถ้ำอันมืดมิดนั้น

ในถ้ำ..ข้าให้น้องๆ แยกกันนั่งห่างๆ กัน จุดเทียนตรงกลางถ้ำ และให้ทุกคนเพ่งไปที่เทียน

การเพ่งเทียนนี้ ข้าบอกให้เพ่งไปยังเปลวเทียนที่ส่งแสงสว่าง เพ่งโดยไม่ต้องหลับตา

เพ่งจนมีความรู้สึกว่า… ทุกคนที่เห็นนั่งกันอยู่รอบๆ นั้นหายไป

การนั่งเพ่งด้วยวิธีนี้ จะเป็นสมาธิเร็ว เมื่อจิตรวมตัวหดเข้ามา

เจ้าตัวจะรู้สึกขึ้นมาด้วยใจเจ้าของเลยว่า..

ทุกคนที่นั่งอยู่รอบๆ เทียนแท่งนั้น มันหายไป เขาหายไปไหนหมดหนอ…!!

ภาวะเช่นนี้ เป็นอาการปิติอย่างหนึ่ง ที่จิตมันกำลังก่อตัวเข้าสู่ภวังค์

การเพ่งในที่สงัด เงียบ มันช่วยให้การรวมตัวของจิตนี่ ทำได้ง่าย

แต่ปัญหาของบางคนก็คือ… ความกลัว

บางคนนี่ พอจิตรวม รู้สึกว่า ทุกคนหายไป เหลือแต่แสงเปลวเทียนตั้งลอยเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางความมืด

มันรู้สึกถึงการอยู่คนเดียว และเป็นคนเดียว ที่นั่งอยู่ในถ้ำที่แสนน่ากลัว

นี่..เมื่อมีความรู้สึกว่า ทุกคนหายไป ใจมันก็เกิดอาการหวั่นไหว

มันเกิดความกลัว ความกลัวนี่ มันเป็นนิวรณ์

นิวรณ์นี่ มันเป็นเครื่องเศร้าหมองต่อการปฏิบัติภาวนาในด้านการทำสมาธิ

เมื่อเกิดความกลัวเอามากๆ ข้าจึงให้เปลี่ยนมานั่งสมาธิโดยการหลับตาแทน

และให้ดับแสงแห่งเปลวเทียน อยู่ในความมืดมิดกันทุกคน

ที่ถ้ำนั้น มืดและเงียบสงบมาก มันเงียบจนเกิดเสียงลมวิ๊ดดดๆ ที่แก้วหู

คนที่กลัวตอนเพ่งเทียน เมื่อทุกคนหายไป

ยามหลับตาในความมืดมิด มันน่ากลัวกว่าการเพ่งเทียนเอามากๆ

เพราะมองใครอะไรก็ไม่เห็น เหมือนนั่งอยู่คนเดียว

ดีตรงที่ทุกคนทำความรู้สึกว่า พระอาจารย์นั่งอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะมีคนวิ่งกันน้ำบานด้วยความกลัว

พอนั่งตานๆไป ความวิตกกังวลมันก็เกิด

บางคน.. นั่งกระสับกระส่ายด้วยความหวาดกลัว

บางคน.. อ้อนวอนในใจ ขอให้ข้าเลิกนั่งได้แล้ว

บางคนมีเสียงกรนคร๊อกก..ฟี๊..ชักหลับ

ราวๆ สองชั่วโมง ที่ข้านำทุกคนนั่งอยู่ในความมืด

บางคนนั่งตัวโยกบ้าง..

บางคนสงบใจบ้าง..

บางคนกระสับกระส่ายบ้าง..

อาการเหล่านี้ เป็นอาการที่เจ้าของเป็นกันไม่เท่ากันในแต่ละคน

ที่ถ้ำแห่งนี้ อดีตของแต่ละคน ต่างก็เคยมานั่งบำเพ็ญเพียรกันแล้วทั้งนั้น

ที่กลับมาร่วมรวมตัวกันนั่งนี่ เรียกว่าเป็นวิบากสัญญา

กำลังใจที่ยังอ่อน ทำให้หลายคนหวั่นไหวเมื่อตกมาอยู่ในภาวะเหมือนโดดเดี่ยวในความมืดมิด

บางคนจิตหดตัวรวมจนเป็นอารมณ์เดียว เกิดปิติโยกคลอน

เรื่องจิตนี่เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่ไม่มีประสพการณ์เผชิญ

การาวมกลุ่มกันและอยู่ในภาวะที่น่าสะพรึงกลัว มันจะช่วยให้จิตเราอยู่กับตัวเอง

เราจะเห็นชัดถึงความกระสับกระส่าย ที่เราเรียกกันว่าฟุ้งซ่าน

หลายคนบอกข้าว่า จิตเขาไม่สงบ เขาเกิดอาการกลัว เกิดความคิดฟุ้งซ่าน คิดนู่นคิดนี่ ไม่เป็นสมาธิ

ข้าบอกว่า นั่นแหละเป็นสมาธิแล้ว แต่เขาบอกว่าเขาฟุ้งซ่านไม่สงบจะเป็นสมาธิได้ยังไง

ข้าจึงขยายภาวะการเป็นสมาธิให้ฟังพอคร่าวๆว่า

การที่เรารู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ ชอบคิดนั่นคิดนี่อะไรอย่างนี้ มันเป็นสมาธิที่เรามี

หากไม่มีสมาธิ เราจะไม่รู้สึกหรือรู้ตัวเองได้เลย ว่าเรานั้นไม่สงบและมีอาการฟุ้งซ่าน

การรู้ถึงอาการฟุ้งซ่าน เป็นสติและสัมปชัญญะที่เป็นสมาธิ

หากไม่มีสมาธิ ภาวะแห่งการจะไปรู้ว่ามันฟุ้งซ่านและจิตไม่สงบมันจะไม่เกิด

เหมือนตอนเราเป็นอยู่ตามปกติ เราจะเห็นว่า เราจะไม่รู้สึกอะไรเลยว่า ตัวเรามันฟุ้งซ่านและไม่สงบ

เรามองไม่เห็นความเป็นเรา

เมื่อมาเห็นความเป็นเราในการมานั่งทำสมาธิ

เราเห็นความฟุ้งซ่านและไม่สงบของจิตใจเรา นี่..เราเห็นความเป็นธรรมดาของภาวะจิตที่ทุกคนต่างเป็นกัน

เพียงแต่เรามันหลงคิดไปว่า หากทำสมาธิ จิตจะต้องสงบ ต้องนิ่ง ต้องไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน

นี่..คนโง่แห่งการมานั่งสมาธิเขาพากันคิดกัน

ทำให้การทำสมาธิ เกิดความโต่งไม่เป็นกลาง เคร่งเครียดจนเป็นอารมณ์หนัก

เพราะเอาตัวตนเข้าไปข่มจิต ว่าต้องสงบๆๆๆๆๆ ต้องนิ่งเป็นลิงโดนยา กระดุกกระดิกและคิดอะไรไม่ได้

การที่เราเห็นชัดถึงภาวะฟุ้งซ่านและไม่สงบ

นั่นเป็นประตูบานใหญ่ในสมาธิที่เปิดกว้าง ออกสู่โลกแห่ง วิตก วิจารณ์ ปิติ สุขและเอกตคตารมณ์

ที่จะนำออกไปสู่ภาวะแห่งปฐมฌาน

สมาธิที่หนาแน่นด้วยกำลัง

คือสมาธิที่ไม่รำคาญความไม่เป็นสมาธิ ที่มันเกิดเป็นธรรมดาของมัน

คนที่รำคาญความไม่เป็นสมาธิ และรู้ว่าตนไม่มีสมาธิ

นั่นเป็นอาการแห่งความเป็นสมาธิ ที่ก่อตัวไปสู่ความไม่รำคาญในใจที่ไม่เป็นสมาธิ

คนมีปัญญาจะเห็นว่า นี่เป็นธรรมดาของอาการแห่งจิต

คนที่เห็นความเป็นธรรมดาแห่งการทำสมาธิจิต

จะอยู่ที่ไหนแม้ในภัยแห่งสงคราม ใจเขาก็มีความไม่รำคาญ ในใจที่ไม่เป็นสมาธิ

เพราะว่านี่..มันเป็นธรรมดาของอาการแห่งจิต

ข้าทำสมาธิมาอย่างยาวนาน หลายครั้งมากมายที่ไม่เห็นว่า ใจมันจะสงบและเกิดการรวมตัว จนนำไปสู่ความเป็นอุเบกขาญาณ

บางครั้ง มันก็ฟุ้งซ่านคิดนั่นนู่นนี่ไปตามอาการปรุงแต่งด้วยความเป็นธรรมดาของมัน

เป็นเพียงแต่ว่า ข้านี่มันไม่เป็นเจ้าของรำคาญ ในอาการที่มีที่เป็นของมัน

ข้าจะนั่งจะยืนจะเดินจะนอน ไม่ว่าอิริยาบทไหน

ใจดวงนี้ มันก็เป็นสมาธิ มีสติและสัมปชัญญะพร้อมทุกขณะจิต

นี่..การมีปัญญาเห็นและยอมรับความเป็นธรรมดา ใจดวงนี้มันก็เป็นใจที่ถึงพร้อมด้วยความมีสมาธิ..!!

ข้าจะว่าถึงภาวะแห่งการทำสมาธิจิต

แต่นี่ดึกมากแล้ว วันนี้ขอคุยแค่นี้ก่อน วันหน้าค่อยมาคุยกันต่อ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 17 เมษายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง