ศีลในทางพุทธศาสนา ไม่มีข้อห้าม พระพุทธองค์ท่านนำข้อวัตรปฏ
พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้ามอะ
ที่เมืองๆหนึ่งพระพุทธองค์ท
ถ้าเขามาทำร้ายเรา… มาขโมยของๆเรา….. มาโกหกเรา…… มาเป็นชู้กับคนของเรา…. เราชอบหรือไม่ชอบ..?
ชาวบ้านต่างเห็นชัดตรงตามคว
แล้วถ้าเราไปทำร้ายเขา… ไปขโมยของๆเขา… ไปโกหกเขา… ไปเป็นชู้กับคนของเขา…. เขาชอบหรือไม่ชอบ…?
ชาวบ้านต่างเห็นชัดตรงตามคว
ถ้าเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ… แต่เราไปทำกับเขาคนอื่น อย่างนี้เป็นคนดีหรือเลว…
ชาวบ้านตอบเป็นเสียงเดียวกั
ชาวบ้านตอบเป็นเสียงเดียวกั
ถ้าเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ. เราพึงมีสติเรียนรู้ว่า เราทำกับเขา เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน เราก็จะพึงไม่ทำ เพื่อความเป็นสุขสงบของเราแ
ชาวบ้านต่างตอบเป็นเสียงเดี
คนดีเมื่อกายแยกแตกสลาย จะไปมืดหรือสว่าง….? ชาวบ้านต่างตอบเป็นเสียงเดี
นี่คือศีลในพุทธศาสนา ไม่มีข้อห้ามอะไรเลย มันเป็นศีลแห่งอริยสัจ คือเป็นใจที่มีเหตุและผล ตรงตามความเป็นจริง
เรียกว่าเป็นผู้มีสติที่เป็
นี่คือผู้มีศีล เป็นผู้มีสติระลึกอยู่อย่าง
เป็นวิมุตติศีล เป็นโลกุตระศีล เป็นศีลอันประเสริฐของเหล่า
ทางพุทธผู้ที่ได้ประจักษ์ชัดเ
คือโลภน้อยลง และโกรธน้อยลงกว่ามนุษย์ทั่
ผู้มีศีลเหล่านี้ กลับมาเกิดกำเนิดเป็นมนุษย์
นี่คือศีลในวิถีพุทธ ผู้มีศีลมีความมั่นใจจนประจ
ตัวข้านี้ มีดี ไม่ต้องตกนรกแน่. มันแน่ใจโดยที่ไม่เชื่อใครอ
สติเกิดจากการพิจารณา การพิจารณาเกิดจากศรัทธา ศรัทธาเกิดจากการได้ฟังธรรม
ตรงตามความเป็นจริงจากสัตบุ รุษ
การได้ฟังธรรมเกิดจากการน้อ
การน้อมใจเข้าหา เกิดจากการลดตัวตน
เมื่อลดตัวตนก็เข้าหาสัตบุร
เมื่อฟังธรรมก็จะเกิดศรัทธา
เมื่อเกิดศรัทธา ก็จะเกิดการพิจารณา
เมื่อเกิดการพิจารณา ก็จะมีสติ
เมื่อมีสติ ก็จะเกิดการสำรวม กาย วาจา ใจ
เมื่อเกิดการสำรวม ก็เป็นผู้มีศีล
ผู้มีศีลก็ไม่ตกไปเป็นทาสขอ
ผู้ไม่เป็นทาสของนิวรณ์ 5 ก็ไม่ตกไปเป็นขี้ข้าแห่งอวิ
เพราะอวิชามีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร
นิวรณ์ 5 มีความทุศีลเป็นอาหาร
ความทุศีลมีการไม่สำรวมเป็น
ความไม่สำรวมอาศัยการไม่มีส
การไม่มีสติอาศัยการไม่พิจา
การไม่พิจารณาอาศัยการไม่มี
การไม่มีศรัทธาอาศัยการไม่ไ