ศีล…แห่งพุทธะ ท่อนที่ 3

ศีล…แห่งพุทธะ ท่อนที่ 3

745
0
แบ่งปัน

ศีลในทางพุทธศาสนา ไม่มีข้อห้าม พระพุทธองค์ท่านนำข้อวัตรปฏิบัติ ที่มีอยู่เดิมๆ มาย่นย่อ และยกตัวอย่างมาใช้กับคนทั่วๆไป เพื่อความเหมาะสมไม่กี่อย่าง ในการดำเนินชีวิต. 
พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้ามอะไรเลย อย่างพวกนอกศาสนาเขาพากันห้ามกัน คำว่าผู้มีศีลในทางพุทธศาสนา ท่านชี้ให้เห็นความเป็นจริงที่เราทุกคนสามารถเห็นได้ รู้ได้ ทำได้ เป็นได้และไม่ยากเย็นอะไรเลย..

ที่เมืองๆหนึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงไปโปรด เมื่อกล่าวเรื่องการทำทานเสร็จ พระพุทธ์องค์ก็ทรงตรัสว่า...
ถ้าเขามาทำร้ายเรา… มาขโมยของๆเรา….. มาโกหกเรา…… มาเป็นชู้กับคนของเรา…. เราชอบหรือไม่ชอบ..?

ชาวบ้านต่างเห็นชัดตรงตามความเป็นจริง จึงพากันตอบว่า…. ไม่ชอบพระเจ้าข้า..!!!
แล้วถ้าเราไปทำร้ายเขา… ไปขโมยของๆเขา… ไปโกหกเขา… ไปเป็นชู้กับคนของเขา…. เขาชอบหรือไม่ชอบ…?

ชาวบ้านต่างเห็นชัดตรงตามความเป็นจริง จึงพากันตอบว่า…. เขาก็คงไม่ชอบเหมือนกันพระเจ้าข้า…!!!
ถ้าเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ… แต่เราไปทำกับเขาคนอื่น อย่างนี้เป็นคนดีหรือเลว…?

ชาวบ้านตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า….เป็นคนเลวพระเจ้าข้า.. คนเลวเมื่อกายแตกสลาย จะเป็นผู้ไปมืดหรือไปสว่าง..?

ชาวบ้านตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า…ไปมืดพระเจ้าข้า พระพุทธองค์ทรงถามว่า รู้ได้ไง.? ชาวบ้านตอบว่า..ก็ผลมันแสดงอยู่ คนเลวก็ย่อมไปมืด. หาสว่างไม่เจอ..!!!

ถ้าเขาทำกับเรา เราไม่ชอบ. เราพึงมีสติเรียนรู้ว่า เราทำกับเขา เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน เราก็จะพึงไม่ทำ เพื่อความเป็นสุขสงบของเราและเขา อย่างนี้เป็นคนดีหรือเลว..?
ชาวบ้านต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นคนดีพระเจ้าข้า…!!!

คนดีเมื่อกายแยกแตกสลาย จะไปมืดหรือสว่าง….? ชาวบ้านต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สว่างพระเจ้าข้า..!!!

นี่คือศีลในพุทธศาสนา ไม่มีข้อห้ามอะไรเลย มันเป็นศีลแห่งอริยสัจ คือเป็นใจที่มีเหตุและผล ตรงตามความเป็นจริง
เรียกว่าเป็นผู้มีสติที่เป็หิริโอตัปปะ เป็นผู้ละอายต่อการกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นผู้ที่นึกระลึกถึงหัวอกเขาหัวอกเรา เราไม่ชอบอย่างไร ใครๆเขาก็ไม่ชอบอย่างนั้น เราจึงไม่ควรทำหรือไปเบียดเบียนใคร ให้ใจใครเขาหรือใจเราเดือดร้อน .

นี่คือผู้มีศีล เป็นผู้มีสติระลึกอยู่อย่างนี้ จนใจเป็นปกติ นี่..เป็นศีลแห่งพระอริยเจ้า เป็นศีลเบื้องต้น เป็นศีลที่จะไม่มีวันลงไปสู่อบาย หรือนรกขุมไหนอีกแล้ว
เป็นวิมุตติศีล เป็นโลกุตระศีล เป็นศีลอันประเสริฐของเหล่ามวลหมู่มนุษย์

ทางพุทธผู้ที่ได้ประจักษ์ชัดเช่นนี้กับใจ เราเรียกว่า พระโสดาบัน พระโสดาบันเป็นมนุษย์ขั้นศีลในพระพุทธศาสนา พระสกิทาคามีก็เป็นมนุษย์ขั้นศีลในพระพุทธศาสนา แต่เป็นใจที่ละเอียดมากกว่าขั้นโสดาบัน

คือโลภน้อยลง และโกรธน้อยลงกว่ามนุษย์ทั่วๆไปในขั้นศีล.
ผู้มีศีลเหล่านี้ กลับมาเกิดกำเนิดเป็นมนุษย์ 7 ชาติมั่ง 3 ชาติมั่ง ชาติเดียวมั่ง ก็จะพ้นแล้วจากกองทุกข์

นี่คือศีลในวิถีพุทธ ผู้มีศีลมีความมั่นใจจนประจักษ์กับตัวเองว่า
ตัวข้านี้ มีดี ไม่ต้องตกนรกแน่. มันแน่ใจโดยที่ไม่เชื่อใครอีกแล้ว เพราะเขามีสติครอบครองดูแลรักษาใจอยู่

สติเกิดจากการพิจารณา การพิจารณาเกิดจากศรัทธา ศรัทธาเกิดจากการได้ฟังธรรมตรงตามความเป็นจริงจากสัตบุรุษ

การได้ฟังธรรมเกิดจากการน้อมใจเข้าหาสัตบุรุษ
การน้อมใจเข้าหา เกิดจากการลดตัวตน
เมื่อลดตัวตนก็เข้าหาสัตบุรุษ เมื่อเข้าหาก็ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ

เมื่อฟังธรรมก็จะเกิดศรัทธา รู้เห็นตรงตามความเป็นจริง
เมื่อเกิดศรัทธา ก็จะเกิดการพิจารณา
เมื่อเกิดการพิจารณา ก็จะมีสติ
เมื่อมีสติ ก็จะเกิดการสำรวม กาย วาจา ใจ
เมื่อเกิดการสำรวม ก็เป็นผู้มีศีล
ผู้มีศีลก็ไม่ตกไปเป็นทาสของนิวรณ์ 5
ผู้ไม่เป็นทาสของนิวรณ์ 5 ก็ไม่ตกไปเป็นขี้ข้าแห่งอวิชา

เพราะอวิชามีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร
นิวรณ์ 5 มีความทุศีลเป็นอาหาร
ความทุศีลมีการไม่สำรวมเป็นอาหาร
ความไม่สำรวมอาศัยการไม่มีสติเป็นอาหาร
การไม่มีสติอาศัยการไม่พิจารณาเป็นอาหาร
การไม่พิจารณาอาศัยการไม่มีศรัทธาเป็นอาหาร
การไม่มีศรัทธาอาศัยการไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษเป็นอาหาร