ตัดเศียรพระลงนรกไหม

ตัดเศียรพระลงนรกไหม

527
0
แบ่งปัน

****** ” ตัดเศียรพระลงนรกไหม “******

มีคนถามว่า พวกตัดเศียรพระ จะลงนรกไหม..?

ขอตอบว่า การตัดเศียรพระนั้น ไม่ลงนรกหรอก จริยาการตัดเศียรพระ มันไม่เกี่ยวกับการลงนรก

แต่ใจที่มันสร้างเจตนาขโมย ศรัทธาของคนทั้งแผ่นดินนี่ มันเป็นตัวชักนำลงสู่นรก

จิตประเภทที่สามารถทำลายศรัทธา ของความเชื่อ

ทั้งๆ ที่ตนเองก็อยู่ในความเชื่อนั้น ถึงไม่ตัดเศียรพระอะไรเลย มันก็ลงของมันเองอยู่แล้ว

เนื่องด้วยเป็นจิตที่เลวอยู่แล้วตามดั้งเดิมของมัน แม้ไม่ตัดเศียร มันก็ลง….

เศียรพระเป็นแค่โลหะแค่อิฐแค่ปูน มันไม่ได้สร้างนรกให้แก่ใจใครหรอก

มีแต่ใจที่ไปยึดหลงไหลในอุปาทานที่หลงยึดนี่แหละ เป็นตัวสร้างนรกขึ้นมารองรับเป็นผลให้เกิดวิบาก

การกระทำเป็นแค่อาการที่แสดงออกของจิต ที่ขาดสติคือศีลที่สำรวม คนที่ไม่สำรวมก็คือคนที่ไม่มีสติ

จึงกระทำอะไรตามใจตนเองเป็นที่ตั้ง เมื่อทำตามใจตนเองเป็นที่ตั้ง มันอาจไปทำลายทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

ความเดือดเนื้อร้อนใจของผู้อื่นก็ย้อนกลับมาทำลาย เจ้าตัวให้ร้อนรุ่ม

ทำให้อยู่ยากในสังคมที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับ นี่เพราะเราไปแหกกฏของสังคม

เราเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ ที่จะมาทำตามใจตนเองโดยการเบียดเบียนผู้อื่น

ทุกคนจึงต้องสร้างกฏและรักษากฏเพื่อความเป็นไปโดยปกติสุข

จิตก็เหมือนกัน มันมีกฏแห่งธรรมชาติของจิต

เมื่อผิดกฏ ก็ต้องมีที่ชำระความซักฟอกใหม่ ที่ใครๆ เขาเรียกกันว่านรกนั่นแหละ เป็นที่ฟอก

เหมือนเราไปขโมยหัวลิงที่เป็นรูปปั้น ที่เขานำมาวางข้างๆ สวนดอกไม้

อย่างนี้จะลงนรกไหม หากโดนจับได้ ก็จะถือว่าเป็นการทำลายข้าวของ ก็ชดใช้กันไป

แต่ถ้าเป็นเศียรพระ ทั้งๆ ที่เป็นโลหะหรือปูนเหมือนกัน

ทำไมถึงต้องลงนรก นี่…มันอุปาทานใช่ไหม ตรงนี้เป็นโปรแกรมหลงอย่างหนึ่ง ทำให้จิตสร้างนรกขึ้นมา

และต้องไปรับผลแห่งวิบากนั้น ตามสมมุติที่ยึด

ที่สำคัญ แม้ว่าจะเป็นสมมุติ แต่มันไม่มีตัวเราเข้าไปตัดสินได้เลย ว่ามันไม่มีจริง

เพราะตัวเราเองก็ตกอยู่ในกระแสสมมุตินั้น

นี่ เป็นเรื่องที่ลึกเกินไป ที่เราจะไปเข้าใจ แต่ทั้งหลายพึงจำไว้

นรกทุกขุม เกิดจากจิตที่เราได้สร้างวิบากกรรมไว้ทั้งสิ้น หากเข้าไปประจักษ์จิตในธรรมแล้ว

นรกก็คือสมมุติอย่างหนึ่งแห่งโปรแกรมจิต และเราก็ตกอยู่ในโปรแกรม ถอดถอนออกไม่ได้ซะด้วย

ผู้ที่จะถอดถอนโปรแกรมนรกนี้ออกจากแนวทางดำเนินแห่งจิตได้

คือผู้ที่มีปัญญเห็นความเป็นจริงเบื้องต้น จนหลุดจากเครื่องร้อยรัดได้ สามอย่างคือ

ยอมรับด้วยความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายนี้ล้วนมาจากเหตุ

ไม่สงสัยในเหตุว่าต้องมีผล และผลก็ย่อมมีเหตุเกิดเสมอ

สามก็คือ ไม่งมงายในผลที่เกิด เป็นผู้ที่มีปัญญสาวผลไปหาเหตุเสมอ

นี่เป็นผู้ที่เข้าถึงธรรมตรงตามความเป็นจริง เป็นผู้มีธรรมอันเป็นอริยสัจเบื้องต้น

เป็นผู้ที่ปลดปล่อยเครื่องร้อยรัดจิต ที่เรียกว่า สังโยชน์ได้ 3 ประการ

จิตเหล่านี้ เรียกว่าจิตแห่งอริยชน เป็นผู้ที่ วิบากแห่งนรกขุมไหนก็กระชากไปนอนอมยิ้มเล่นไม่ได้ทั้ง 457 ขุม นี่คืออริยชนผู้เป็นชาวบ้านชั้นดี

ทางพระเขาเรียกว่า พระโสดาบัน พระโสดาบันเป็นชาวบ้านที่มีศีล

ยังมีลูกมีเมียมีผัว แต่ไม่ทุศีล เป็นผู้ละอายชั่วกลัวบาป

มีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวคลอนแคลนในการกระทำชั่ว เป็นผู้มีสติ

ที่มีสติเพราะเป็นผู้ที่มีการพิจารณา ที่เป็นผู้มีการพิจารณาเพราะเป็นผู้ที่มีศรัทธา

ที่เป็นผู้มีศรัทธาเพราะได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจอย่างประจักษ์จิต

การเป็นผู้จะเข้าใจและได้ฟังได้อย่างประจักษ์จิต

ก็เพราะได้รับฟังธรรมจากสัตบุรุษที่แสดงธรรมแห่งมุตโตทัย

ผู้ที่จะฟังธรรมได้คือผู้ที่นอบน้อม คือเป็นใจที่มี นโม

นี่คือผู้ที่วางตัวตนลง มีใจอ่อนควรค่าแก่การงาน จึงจะเข้าหาธรรมและฟังธรรมจากสัตบุรุษรู้เรื่อง

นี่..มูลเหตุแห่งผู้มีศีล ที่แยกย่อยออกมา บ่ายนี้มีแขกแล้ว สวัสดี…

วันที่ 25 ธันวาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง