รวมจิตไปทำอะไร

รวมจิตไปทำอะไร

406
0
แบ่งปัน

****” รวมจิตไปทำอะไร “****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ เที่ยงวันพุธจ้า

ขอเป็นกำลังใจแข็งแรงสู้ๆ

สมัยหนึ่ง นั่งพักอยู่ปากถ้ำ ไม่ได้กินอะไรเลยมาสี่วันแล้ว

ลั่นสัจจะไว้ว่า ถ้าจิตไม่รวมก็จะไม่ยอมกินอะไร

วันนั้น เวลาราวๆนี้แหละ ช่วงเที่ยงๆ

ข้ามานั่งทบทวนดูว่า ทำไมเราถึงรวมจิตไม่ได้

ทั้งๆที่ ที่นี่ มันก็ตัดขาดจากผู้คนและเครื่องร้อยรัด

นั่งสมาธิมาเป็นสิบปี การรวมจิตได้มันนับครั้งได้ ทำไมมันช่างยากเย็น

ที่สุดมันก็เข้าใจว่า เพราะมันติดเงื่อนไขที่ว่า หากจิตยังไม่รวมเราจะไม่กินอาหาร

นี่…สัจจะที่ตั้งไว้นี่ บางครั้ง มันก็ขวางมรรคผล

มันรวมไม่ได้หรอก มันติดเวทนา

แม้สมาธิจะข่มเวทนา

มันก็ข่มเวทนาที่มันเด็กๆหรอก

หิวแสบไส้ นั่งทนกับความเผ็ดร้อนที่ทุรนทุรายในกระดูกที่ปวด

เหล่านี้มันเวทนามาก่อนมีสมาธิ

เมื่อมันมากเข้าๆ สมาธิมันก็ไม่มี

มันมีแต่เวทนา และความดื้อดึงใจที่จะทำให้ได้

นี่…เรียกว่า เสือกไปเป็นเจ้าของอาการแห่งจิตซะอีก

การฟุ้งไปในกายวิญญาน อันเป็นเวทนาก็เลยเกิด มันเป็นนิวรณ์ตัวหนึ่ง

สมาธิมันจึงไม่มี การรวมจิตมันก็เลยไม่เกิด

ความเพียรมากไปนี่ ปัญญามันก็ไม่เกิด สมาธิก็ไม่เกิด

มันมีแต่ความงมงาย และทิฏฐิดึงดันที่จะทำ โดยเอาสัจจะมาอ้าง

ที่สุด ก็ใช้วิธีเดินจงกรม เดินๆๆๆ อยู่สองวัน

เดินจนตีนแตก ที่สุดพอนั่งพักทำสมาธิ จิตก็รวมตัวกันทันที…

นี่..บทจะรวม มันก็รวมขอมันเองเลยละ เรามันเสือกไปเป็นเจ้าของเพื่อที่จะให้มันรวมเอง นิวรณ์มันก็เลยมีกำลัง

จิตที่รวมตัวนี่ มันสว่างโพลน สติลอยเด่นเป็นอุเบกขา

ทุกอย่างทางอายตนะดับหมด มีแต่สติลอยเด่นเป็นอุเบกขา

มีผู้ดูและผู้รู้ที่ซึมซับเจตนา

ความเป็นอุเบกขา พร้อมสติที่ตั้งมั่นเป็นเอกเทศต่อกันและกัน

นี่…ภาวะจิตรวม ที่ท่านเรียกว่า ฌานสี่แห่งรูปฌาน

มันเป็นอาการแห่งจิตที่หดตัวเข้ามา ไม่แผ่ซ่าฟุ้งซ่านตามธรรมดาของอาการมัน

ผู้ที่เข้าถึงรูปฌานสี่นี่ ความอัศจรรย์ใจแห่งเจ้าของก็ย่อมเกิด

ตัวตนนี่ ความรู้สึกหายไปเลยละ รูป รส กลิ่น เสียง สำผัส นี่ไม่มี

เสียงอะไรก็ไม่มี นี่ถ้าหากฟ้าผ่าตรงกระบาลก็คงไม่ได้ยิน หรือใครเอาฆ้อนทุบหัว มันก็คงไม่สึกอะไร เพราะความรู้สึกแห่งตัวตนมันไม่มี

เมื่อจิตมันถอดถอนออกมา รับรู้ผัสสะทางอายตนะ มันถอนของมันเอง

เมื่อเจ้าของใส่โปรแกรมทางมโนจิต อยากรู้ว่า เมื่อก่อนเราเคนเกิดเป็นอะไรน้อ..!!

สติที่พึงมีจะระลึกได้ตามกำลัง มันระลึกได้เหมือนวันวาน ที่เราออกไปตลาดซื้อข้าวซื้อของ

มันระลึกได้ถึงการกระทำต่างๆ

มันระลึกได้ เมื่อเพ่งลงไปในความรู้เห็นนั้น

มันก็เหมือนกับเรานั่งหลับตา แลัวระลึกขึ้นมาได้ว่า

เมื่อวานนี้ เราได้ทำอะไรไปบ้าง เดือนโน้น ปีโน้น ยิ่งถ้าหลายๆปี มันก็ลืมเลือนไม่ค่อยชัด

แต่ถ้าเพ่งและคลึงเคล้าอยู่อย่างนั้น มันก็จะรู้และเห็นชัดขึ้น

นี่…กำลังแห่งสมาธิช่วยให้เกิดในเรื่อง บุพเพนิวาสา

มันจะระลึกเรื่องราวแต่หนหลังได้

ชาวอินเดียที่เป็นนักพรต ต่างระลึกชาติแต่หนหลังได้ตั้งมากมาย

แต่ทว่า เขาขาดปัญญาญาน ที่จะไปรู้ได้ว่า

ฌานแห่งการระลึกได้นั้น เขาเอาไปใช้ทำอะไร

เปรียบเหมือนบุรุษที่เอาไม้มาสีไฟ

เมื่อสีไฟได้แล้วก็ภูมิใจอยู่แค่กับไฟที่สีขึ้นมาได้

แต่ไม่รู้วิธีสุมให้ไฟเป็นกองใหญ่

ถึงรู้วิธีสุมเป็นไฟกองใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไฟกองใหญ่ไปทำอะไรได้

นอกจากให้ความอบอุ่นที่มีไฟกองใหญ่ได้แอบอิง

นี่…เรื่องปัญญาและสมาธินี่ ยังไงก็ต้องมีครู มีผู้ชี้

ความเข้าใจและหมดจรด มันจึงจะลามกินเข้าไปถึงภายในใจเจ้าของ ก่อนสิ้นอายุขัย

ความเพียรนี่…สำคัญ แต่เพียรมากไป สมาธิไม่เกิด

สมาธินี่…สำคัญ แต่สมาธิมากไป ความเพียรไม่เกิด

ศรัทธานี่…สำคัญ แต่ศรัทธามากไป งมงาย โง่

ปัญญานี่…สำคัญ แต่ปัญญาที่มีมากไป มันก็สงสัยมาก โง่เหมือนกัน

สตินี่…สำคัญ แต่สติที่ขาดปัญญา ศรัทธา ความเพียร สมาธิ นี่..ไร้กำลัง โง่อีก

สิ่งเหล่านี้ เจ้าของต้องสร้างเป็นกำลังขึ้นมา

แต่การสร้างก็ต้องมีผู้ชี้

สำคัญที่ผู้ชี้ อยากได้ของดี ผู้ที่ต้องการพบผู้ชี้ ก็ต้องพยายามหาให้เจอ

หาเจอแล้วจะพบคำตอบที่แสวงหา

คำตอบที่ชี้ทางโดยสว่างแจ้งย่อมเป็นเส้นทางที่โปร่งสว่าง

เห็นชัดถึงเส้นทางปลายแสงแห่งอุโมงค์

สาธุคุณ ขอให้ชีวิตนี้ได้เจอผู้ชี้ทาง…

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง