กรรมฐานแตก

กรรมฐานแตก

370
0
แบ่งปัน

****” กรรมฐานแตก “****

พอดีมีน้องเขาถามมา ข้าจึงเอาคำอธิบายจากประสพการณ์นี้ มาเล่าต่อให้ฟังอีกที ซึ่งก็เคยเล่าไปแล้ว เมื่อปีก่อน

เรามาว่ากันถึงเหตุ และเรื่องราวเกี่ยวกับกรรมฐานแตก ปัญหาของผู้ฝึกเอาจริงเอาจัง แล้วกรรมฐานแตกนี่ เหตุหลักเลยคือศีลไม่บริสุทธิ์

ความมีที่ตั้งแห่งใจ มีไม่พอ ไร้ครูบาอาจารย์ผู้ชี้ ที่ทรงคุณและถูกต้อง

เณรคนนี้ หลวงพ่อ สละ เกจิอาจารย์แห่งวัดประดู่ ได้เตือนแล้ว ว่าให้มาขึ้นกรรมฐานก่อน แต่เณรไม่เอา บอกว่าคนละสาย

ของเณรมาสายปัญญา ฝึกเพื่อให้เข้าถึงปัญญา เณรว่างั้น

หลวงพ่อบอก งั้นให้มาต่อศีลก่อน ให้ใจมีที่ตั้ง

เณรบอกว่า ไม่ต้องต่อหรอก เขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่ทำชั่วอะไร

นี่..ความมั่นใจของเณรเขา จริงๆมันก็ถูก

แต่ความถูกนั้น มันถูกเพราะเณรคิดเอา และเป็นมานะแห่งตนที่เณรแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว

นั้นก็คือ ความแข็งกระด้างแห่งจิต ที่พระผู้ใหญ่อย่างหลวงพ่อ สละ ซึ่งเป็นพระอาจารย์คน ลูกศิษย์มากมายทักท้วง แต่เณรไม่ฟัง เณรมั่นใจความดีของเณร

หากเป็นคนปฏิบัติ เมื่อระดับพระอาจารย์ผู้มากประสพการณ์ทัก

ใจที่อ่อนควรค่าแก่การปฏิบัติ มันจะน้อมลงฟัง

ที่ไม่ฟังนี่ เป็นทิฏฐิที่แข็งกระด้าง มานะจัด

มานะนี่เป็นการอวดตัวอวดตน ว่า เป็นคนเก่งเอาตัวรอดได้

ตรงนี้ เณรมองไม่เห็นใจตนเอง ที่สุด กรรมฐานเณรก็แตก

กรรมฐานแตกแล้วแก้ยากท่านเอ๋ย เพราะนี่ไม่ใช่เป็นการโดนของ

แต่เกิดจากความตกใจและกลัวจนเกิดทิฏฐิตน ที่จะรับได้

โปรแกรมจิตมันเลยแฮ้งค์ไปเลย ไม่เข้าร่องเข้ารอย

เรียกว่า ขวัญหนีดีฝ่อไปเลยชีวิตนี้ การทำกรรมฐาน ในที่นี้ คือการปฏิบัติภาวนา ด้านอานาปาน

หากไม่มีผู้ชี้ที่ถูกต้อง เมื่อเวลาจิตมันรวมตัวกันหดตัวเข้ามาสู่ภวังค์

นอกเหนือไปจากอำนาจแห่งตัวเราควบคุม

มันจะแสดงออกมาทางอาการต่างๆ ตรงนี้เรียกว่า ปิติ

ปิติ นี่ เป็นอาการแห่งจิต ที่มันปรุงขึ้นมาตามเหตุปัจจัยของมัน ที่สร้างสมโปรแกรมกันมา

แต่สติที่ยังคงตามรู้อยู่ เข้าไปรับรู้อาการปรุงแต่งเหล่านี้

ความแปลกใจ ความตกอกตกใจ สำหรับบางคน มันก็เลยเกิด

บางคนออกมาทางมโนจิต ทางกายวิญญาน ทางโสตวิญญาน คือเสียงต่างๆ

ทางฆานวิญญาน คือกลิ่นต่างๆ

เหล่านี้ ทำให้คนที่ใจไม่ตั้งมั่น เกิดขวัญหนีดีฝ่อ

มโนจิตก็ยิ่งเอาเหตุแห่งความกลัวนี้ เป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้มันยิ่งๆขึ้นไปอีก

ความกลัวตายก็ข้ามากุมหัวใจ หากไม่เป็นบ้า เจ้าของก็เลิกไปเลย

และเลิกกันมามากแล้ว ด้วยความกลัว

กลัวเช่นนี้ ก็เรียกว่า กรรมฐานแตก ที่ตั้งแห่งใจที่ตั้งมั่นด้วยสติไม่มี มันมะลายหายไปหมด ด้วยผลกระทบแห่งการปรุงทาง มโนจิต

แต่นี่ เป็นอย่างอ่อน แค่เลิกทำ เลิกเพราะไม่กล้า ไม่มีผู้ชี้แนะที่ทรงคุณชี้

ชีวิตนี้ ก็จะเลิกไปเลย ในการทำกรรมฐาน

มีพระอยู่รูปหนึ่ง ชอบการทำกสิณโดยการเพ่งเทียน

ท่านเพ่งมานาน เพ่งมาเป็นสิบปีแล้ว ท่านบอกว่า ท่านอยากได้ทิพย์จักขุญาน

การเพ่งเทียนจะทำให้ท่านได้ทิพย์จักขุญาน ท่านว่างั้น

แต่เพ่งเท่าไหร่ก็ไม่ได้ซักที จึงได้มาหาข้า และได้ชวนกันไปเพ่งกันในถ้ำ นี่..เมื่อสิบกว่าปีก่อน

ปกติ ท่านอยู่วัด เพ่งวันละชั่วโมงสองชั่วโมง

การเพ่งในที่มีคนขวักไขว่ มีเครื่องใช้ ทีวี โทรศัพท์ อะไรต่ออะไรล้อมรอบน่ะ จิตมันไม่เจริญ

แม้ทำตลอดชีวิตก็ไม่เจริญ มันเพ่งเอาชั่วโมง ไม่ได้เพ่งเอาดีเพื่อให้ถึงที่สุด

ไปอยู่ในถ้ำทางกาญจน์ ห้าหกวัน

ปรากฎว่า วันที่สาม วิ่งแก้ผ้าออกมาจากถ้ำ ทุกคนตกใจกันหมด

วิ่งไล่จับและถามใถ่ได้ความว่า กลัวๆๆๆๆ

เมื่อตั้งสติอารมณ์ได้ก็พากลับวัด กลับแล้วก็เลิก ทำกรรมฐาน

ที่สุดก็สึกออกไป สติก็ปร้ำๆเปร๋อๆ

นี่ โทษของกรรมฐาน ขนาดนั่งมาแล้วเป็นสิบปี

ข้าเองเคยเอาเทียนเข้าไปนั่งเพ่งคนเดียวในถ้ำมืดคนเดียว

มันจะมีอยู่ชั่วหนึ่ง ตอนจิตรวม

เมื่อเทียนลอยเด่นชัดขึ้นมาในความมืดมิด

เปลวเทียนจะเริ่มขยายใหญ่ ตรงนี้บางคนอาจตกใจ

มันจะเหมือนตัวเราไหลเข้าไปอยู่ในเปลวเทียน

นี่มันปรุงแต่งมาทางจักขุวิญญาน

หากจิตมันปรุงมาทางโสตวิญญานด้วย

เสียงปะทุ แห่งเปลวเทียนที่มันระเบิดลั่นออกมา

มันกระหึ่มกังวานยังกะระเบิดลง เปรี๊ยะเดียว กำลังเพลินๆนี่ ช็อกแดก

ถ้าปรุงมาทาง กายวิญญาน มันก็จะร้อนเพราะเพลิงแดงที่มันขยายใหญ่ มันแผดเผาเอา

มันก็ตกใจกระโจนเผ่นกันล่ะ

นี่..ภาวะการปรุงแต่งเช่นนี้ คนมันไม่เข้าใจ ขาดการอบรมจิต

ขาดผู้รู้มาชี้แนะ ไม่เข้าใจภาวะแห่งจิต ทำเพื่ออวด ทำเพราะเข้าใจเอาเอง

เมื่อถึงภาวะหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะเป็นโทษ

แต่ถ้าเข้าใจ มีสติรู้ทัน มีครูบาอาจารย์เป็นที่ตั้ง เอาชีวิตเข้าถึงความเป็นพระรัตนไตร

สิ่งเหล่านี้ แทบไม่เกิด ถึงเกิดก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย

มันจะผ่านไปได้ โดยไม่เป็นภัย อาการทั้งหลายที่ปรุงตามเหตุปัจจัย

มันจะเลือนหายมาเป็นเปลวเทียนที่ตั้งลอยเด่น อยู่ตรงหน้าแทน

และนิ่งสงบอยู่เช่นนั้น ไร้การปรุงแต่งใดๆ เปลวเทียนจะเริ่มเปล่งใส เป็นประกายพฤษ

ที่สุดก็จะเป็นวงแก้วสวยงาม มีแต่สติลอยเด่นอยู่ พร้อมวงแก้วประกายพฤษที่เป็นอุเบกขา

เมื่อจิตถอยกลับออกมา ดวงแก้วนี้จะติดตาถอยกลับออกมาด้วย

เมื่อมารู้ตัวทั่วพร้อม ที่เขาเรียกกันว่า อยู่ในขั้น อุปจาระสมาธิ

ตั้งสติเพ่งไปที่ดวงแก้ว โยนิโสให้เพิกหายไป

แล้วให้สิ่งที่ต้องการ ขึ้นมาเป็นรูปแทนดวงแก้ว

เช่นนี้ ความเป็นทิพย์จักขุญานจึงจะเกิด

จะมั่นคงและยาวนานแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่เราฝึกฝนมา

แต่จะให้แน่นอนตลอดไปนี่ ไม่ได้

นี่คือคุณของการผ่านโทษไปแล้ว ในเรื่องของภาวะจิต การขึ้นกรรมฐานกับผู้ทรงคุณ และเจตนาบริสุทธิ์

จะเป็นที่ตั้งแห่งจิต ไม่ทำให้เกิดโทษภัยได้

การระลึกถึงกุศล การกล่าวคำอาราธนาครู การสวดมนต์ก่อนทำกรรมฐาน

ช่วยให้ใจตั้งมั่นขึ้นมาได้

การแผ่เมตตาจิต อุทิศความดีในกุศลทั้งหลาย ออกไปทุกทิศทุกทาง

เป็นการแก้กรามฐานแตกได้

การน้อมน้อมต่อสถานที่ ขอขมากรรม ระลึกคุณของครูบาอาจารย์ ถึงพรหมเทวา ถึงพระรัตนตรัย

ต่างๆเหล่านี้ ทำให้ใจมีที่ตั้ง และแก้อาการกรรมฐานแตกได้

เรื่องจิตนี่ เราอย่าไปทำเก่งกับมันเลย เราไม่รู้จักอาการจริงๆของมันหรอก

ไอ้ที่บอกว่าดูจิตๆๆๆ น่ะ มันเป็นแค่ดู ความคิด ความรู้สึกที่เป็นเวทนาหรอก

ตัวผู้ดูล่ะเป็นใคร ถึงได้ไปดูจิตเห็น หรือผู้ดูไม่ใช่ตัวจิต หรือเป็นใครที่ไหนอีก มาเห็นจิต และจิตมันอยู่ตรงไหน

เอาเวทนาทางความคิด ความรู้สึกมาเป็นจิต แต่ไม่เคยย้อนกลับมาดูผู้ดูเลยว่า ใครมันเป็นผู้ดู

และไอ้ผู้ดูนี่ มันเป็นใครและอยู่ตรงไหน

ถ้ากรรมฐานแล้วเกิดการวินิจฉัยกันเช่นนี้

เรื่องกรามฐานแตกจนประสาทหลอนบ้าใบ้ มันก็จะไม่เกิด

1 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง