หูทิพย์ตาทิพย์ที่หลงเข้าไปปรุง

หูทิพย์ตาทิพย์ที่หลงเข้าไปปรุง

446
0
แบ่งปัน

**** “หูทิพย์ตาทิพย์ที่หลงเข้าไปปรุง” ****

เมื่อวานนี้ข้าได้อธิบายถึงสภาวะแห่งปฐมฌาน

ปฐมฌานนี่ มันปลอดไปจากอาการของนิวรณ์

นิวรณ์นี่ มันเป็นอุปาทานจิต ที่หลงเอาอาการปรุงแต่งต่างๆ มาเป็นเจ้าของ

เพราะความไม่รู้ มันจึงเป็นนิวรณ์

ที่เรียกว่านิวรณ์ อันเป็นเครื่องร้อยรัดจิตนี่ ก็เพราะความหลงเข้าไปยึด

ที่จริงมันก็มีของมันอย่างนั้นแหละ หากเข้าใจด้วยปัญญา ว่ามันมีของมันเป็นธรรมดา

นิวรณ์มันก็อ่อนกำลัง เจ้าของเข้าสู่ปฐมฌานได้ ด้วยความเพียร

หากไม่มีปัญญา เจ้าของก็เข้าสู่ปฐมฌานได้ ด้วยความเพียรเช่นกัน

ในขั้นปฐมฌานนี้ เราเข้าได้ด้วยกำลังแห่งความเพียร

แต่การเข้าสู่ปฐมฌานด้วยความเพียรอย่างเดียวไร้ปัญญา ไม่รู้จักธรรมดาของนิวรณ์

สมาธิก็จะไปตันอยู่ตรงปิติ เราจะไปเป็นเจ้าของอาการแห่งปิติอีก

ปฐมฌานนี่ เป็นสมาธิในวิถีจิต ที่แสดงอาการ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข และเอกคตารมณ์อยู่

แต่ในขั้นปิติ ที่วิตกวิจารณ์จางคลายหายไปนี่ มันเป็นสมาธิในภวังค์จิต

นี่..นักปฏิบัติต้องรู้จักมัน

ไม่เช่นนั้น มันจะมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของทุกอาการช่องทางที่มันแสดงออกมา

การทำสมาธิในวิถีพุทธ ไม่ใช่มานั่งหลับตาเป็นหัวตอแบบฤษีชีไพร

หรือจะมาใช้ความเพียรด้วยภาวะแมลงวันบินเอาหัวโหม่งกระจกใส

เมื่อไม่รู้จักสภาวะจิต เราก็จะไร้ปัญญาแยกแยะทำความแหยบคายไว้ในใจ

การกระทำสมาธิก็จะไม่เกิดมรรคผลอะไรขึ้นมาในวิถีแห่งความเป็นพุทธะ

เมื่อรู้จักว่า ปฐมฌานเป็นอย่างไร ฌานปิติ ฌานสุข และอุเบกขาฌานเป็นอย่างไร

การทำสมาธิแห่งสัมมามันก็จะพึงบังเกิดในจิตใจเจ้าของ

สมาธิ เมื่อผ่านปฐมฌานเข้าสู่ปิติ ภาวะความเป็นเราบังคับนั้นจะหมดไป

มันก็เป็นภาวะเดียวกับคนหลับแล้วฝัน

แต่เป็นการหลับที่มีสติสัมปชัญญะ รู้เห็นการปรุงแต่งแห่งจิต

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ภาวะปรุงแต่งต่างๆ มันก็จะมาทำร้ายจิตใจเจ้าของอะไรไม่ได้

เพราะความตั้งมั่นกอรปด้วยปัญญาญานตรงตามความเป็นจริง

การปรุงแต่ง ที่อาจทำให้เจ้าของกรรมฐานแตก บ้าใบ้ วิกลวิกาล อย่างที่เคยได้ยิน มันก็จะจางคลายหายไป

การเข้าถึงอุเบกขาแห่งสมาธิ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไรนัก

อาศัยความเพียรที่ประกอบด้วยปัญญา

พละทั้งห้าคือ ศรัทธา ปัญญา สมาธิ วิริยะ สติ ก็จะเข้าประชุมกันมาโดยพร้อมมูล

ทีนี่ เมื่อถึงขึ้นปิติ สติของเราก็จะเข้าไปรู้เห็นการปรุงแต่งจิต

ผู้ไร้ปัญญาก็จะไม่รู้ว่าอาการต่างๆที่เป็น ที่เห็น ที่รู้จัก มันเป็นอาการปรุงแต่งจิตไปตามเหตุปัจจัย

หลายคนมีปัญหาในอาการที่เป็น เช่นคัน น้ำมูกน้ำตาใหล

ตัวพอง ไฟฟ้าช๊อต ตัวขยายใหญ่ ได้ยินเสียงแปลกๆ เห็นนั่นเห็นนี่

เห็นเทวดา นางฟ้า นรก เห็นพระพุทธเจ้า เห็นนิพพาน รู้นั่น รู้นี่ เยอะแยะ

นี่แหละเป็นอาการปรุงแต่งจิต

เมื่อมาทางดี มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ มันก็จะกลายเป็นอุปกิเลส

เมื่อมาทางร้าย มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ กรรมฐานอาจแตก วิกลวิกาลบ้าใบ้ สติแตก วิกลจริตไป

นี่เพราะความอับทึบแห่งปัญญา ที่ขาดผู้แจ้งในเรื่องจิตออกมาชี้ทาง

บางคนเกิดภาวะรู้แจ้งโลก ธรรมแตก บรรลุธรรมไปโน่นเลย

แต่อธิบายในสิ่งที่ตนเป็นนั้นไม่ได้

อธิบายได้จากการไปจำๆกันมาด้วยตรรกะแห่งตนแค่นั้น

สภาวะต่างๆนั้นที่เกิดขึ้น ผู้เข้าไปถึงสภาวะนั้นๆ จะมีแต่ความสงสัยทั้งนั้น ที่เกิดขึ้นในดวงจิต

มันจะรอคอยเสาะหาครูบาอาจารย์ชี้แนะในสิ่งที่เป็น

ไม่มีใครเข้าถึงความแจ้ง ด้วยคิดว่าตนนั้นบรรลุ

ผู้บบรลุก็เหมือนลูกไก่ออกมาจากกระเปาะไข่ สิ่งแรกที่ออกมาจากกระเปาะก็คือ วิ่งหาแม่

นี่เป็นธรรมชาติของจิต ไม่ใช่บรรลุแล้วเป็นไก่โต้งเลย ด้วยการเข้าใจว่าตนนี้บรรลุแล้วแจ้งแล้ว

ข้านี่เจอผู้บรรลุธรรมหลายคน

แต่ละคนนี่ ปวดหัวกะมัน ก็ได้แต่ปลอบใจว่า เออ..มึงเก่ง

อารมณ์ขั้นปิตินี่ มันมีหลากหลายมาก

หากเราไม่มีปัญญาได้รับการอบรม เราก็จะเอาตัวเข้าไปเป็น

อารมณ์ปิตินี่ มันเป็นอาการปรุงแต่งทางจิต ที่แสดงออกมาหลายช่องทาง

ไม่ใช่แค่ขนลุกขนพอง น้ำตาใหล ตัวหมุน หัวทิ่มหรืออะไรแค่นั้น

อาการเหล่านั้น มันเป็นปิติทางด้าน กายวิญญาน

มันยังมีปิติทาง โสตวิญญาน มโนวิญญาน ฆานะวิญญาน จักษุวิญญาน อะไรอีกเยอะแยะ

อย่างโสตวิญญาน หรือการปรุงแต่งทางเสียงในภวังมันก็มี

เช่นได้ยินเสียงนั่น เสียงนี่ ได้ยินคนนั้นคนนี้พูด ทึกทักกลายเป็นหูทิพย์กันไปเลย

ทางจักษุวิญญาน หรือการปรุงแต่งทางรูปในภวังค์

เช่นการเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นพระพุทธเจ้า เห็นสิ่งแปลกๆทางภวังค์

หลายคนที่เกิดอาการเช่นนี้ ก็เอาอารมณ์นี้ที่เห็นในสมาธิมาเป็นญานตาทิพย์กันไปเลยเยอะแยะ

ยิ่งการปรุงแต่งแบบเจ้าของพออกพอใจ เอามโนวิญญาน ไปรวมกับ ทางช่อง อายตนะภวังค์

คือ รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะกายด้วยละก็

ความลุ่มหลงว่ากูเป็น มันก็จะขยายวงกว้างออกไป จนกู่ไม่กลับ

และไม่ฟังคำใคร เพราะความหลงใหลในอาการปิติที่ใจตนแสดง

ปิตินี่เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่งในกระแสแห่งภวงค์ เมื่อมีเจ้าของเข้าไปยึด

มันก็เหมือนนิวรณ์ในวิถีจิต คือการ ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน ลังเล โกรธ อาฆาต รัก โลภอะไรเหล่านั้น

มันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ที่ขวางกั้นการเป็นสมาธิ ขั้นปฐมฌาน

ในปิตินี่ มันเป็นนิวรณ์ เป็นเครื่องเศร้าหมอง ขวางกั้น สุขและอุเบกขา

พระผู้มีปัญญาอย่างเช่นหลวงปู่มั่น ท่านรู้เท่าทันอาการปรุงแต่ง แห่งภวังค์จิต

ท่านจึงเลือกที่จะเดินจงกรม แทนการนั่งแช่นิ่งในสมาธิ ที่ตกภวังค์ปรุงแต่งไม่มีที่สิ้นสุด

การเข้าไม่ถึงปัญญาแห่งความเป็นจริง มันจะไปพอใจกับการปรุงแต่ง ที่ผุดขึ้นมาไม่มีที่สิ้นสุด

การย้อมจิตบ่อยๆด้วยอารมณ์ปรุงแต่งทางจิตในขั้นปิติ

มันจะติดเป็นอารมณ์และเป็นนิวรณ์ทางภวังค์จิต ทำให้เกิดการขวางมรรผลเป็นอุปกิเลสขึ้นมา

การตื่นโดยการเดินจงกรม จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ สำหรับผู้ที่กำลังปฏิบัติ

แต่เมื่อมีปัญญารู้เห็นตรงต่อความเป็นจริงชัด

เมื่อการปรุงแต่งเกิด สติที่มีความตั้งมั่นในภวังค์ เมื่อระลึกขึ้นมาได้

ก็ให้หวลกลับมาตั้งต้นตรงวิตกใหม่

เมื่อปิติเกิด เรามีสติระลึกได้ ก็ให้เรา หวลกลับมาตั้งต้นที่วิตกใหม่

และตั้งมั่นประคองมันไป เราต้องเริ่มดำเนินไปในเส้นทางสายนี้

การฝึกในขั้นนี้ เราก็ดำเนินไปในเส้นทางเดียวกับตอนดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งวิถีจิต

เมื่อมาตกอยู่ในภวังค์จิต วิตก วิจารณ์หายไป แน่นอน การปรุงแต่งฟุ้งซ่านในอาการแห่งปิติ มันก็ทำงานของมันเป็นธรรมดา

แต่เรามีสติและสัมปชัญญะหล่อเลี้ยงอยู่ ด้วยปัญญาและความเพียรนั้นๆ

เมื่อมีสติระลึกได้ ว่าปิติมันเกิดปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว

จะเป็นปิติปรุงมาทางด้านไหนก็ตาม

เมื่อระลึกได้ เราก็ดึงกลับไปสู่วิตกใหม่

ทำเช่นนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง จนจิตเกิดความเคยชิน

การปรุงแต่งทางปิติ ก็จะสงบไป

การสงบไปจากการปรุงแต่งทางอายตนะจิตในภวังค์

บาลีเรียกว่า ” สุข ”

สุขคือ การสงบระงับไปจากการปรุงแต่งจิตที่เรียกว่าปิติ

นี่..ขั้นฌานสาม ในการทำสมาธิจิตแห่งวิถีพุทธะ

ไม่ง่ายเลย ที่จะเกิดผู้มีปัญญาอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้หงายขึ้นมาด้วยความเข้าใจ

ขั้นสุขนี้ มันจางคลายไปจาก วิตก วิจารณ์ ปิติ

สามส่วนนี้ มันเป็นสิ่งหยาบไปสำหรับฌานในขั้นนี้

ฌานก็คือความเคยชิน ที่ย้อมลงไปจนเป็นปกติแห่งจิต

พรุ่งนี้หากว่างไม่มีผู้คนกวน ข้าจะอธิบายสภาวะสุข และการถอดถอนให้ฟัง

สุขนี่ ไม่ใช่ อิ่มเอิบ เบากายเบาใจอะไรพรรณนั้น อย่างที่เหล่าเกจิเขาโม้ว่ามา

อาการเหล่านั้น มันเป็นปิติปรุงแต่งทางมโนจิต ที่แสดงออกมาทางกายวิญญาน

มันเป็นปิติอากาหนึ่งเท่านั้น ที่หลงใหลไปเป็นเจ้าของ

วันนี้ขอสาธุคุณสวัสดี วันเสาร์ที่จะถึงนี้ ขอเชิญชวนมาร่วมปลูกต้นไม้ ถวายองค์ในหลวงกัน

ขอสาธุคุณ…

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี วันที่ 26 กรกฎาคม 2560