เที่ยวธุดงค์

เที่ยวธุดงค์

387
0
แบ่งปัน

***** เที่ยวธุดงค์ ****

หวัดดีปีใหม่….ทุกคน

วันนี้ โม้เรื่องผีที่มาไล่ข้า ช่วงนี้ ทำงานเช้า ยันมืด เพราะต้องทำเองทุกอย่าง การถักเศียรองค์พระนี่ ข้าต้องชี้และวัดขนาดเอง เหนื่อยมากเหมือนกัน

รวมทั้งพิจารณาในการทำอย่างละเอียด จึงไม่ค่อยจะมีเวลาอะไรนัก บางวันก็ไม่ได้ออกไปรับบาตรหรอก ไม่ต้องกินกันให้มีขี้อีก

ตื่นมา ก็ต้องให้อาหารสัตว์ รดน้ำต้นไม้ แล้วไปปีนนั่งร้าน ขึ้นๆ ลงๆ เลย ไม่ว่าง กลางคืนก็มานั่งคุยกับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน ดึกหน่อย

ข้าจะโม้เรื่องผีที่มาไล่ข้าให้ฟัง เมื่อตอนพรรษาสอง ข้าเข้าไปอยู่ในป่า ทางห้วยแม่ปลาสร้อย ข้ากะว่า จะไปเจริญจิต คนเดียวในป่าฝั่งโน่น ซัก 15 วัน

ข้าจึงเดินออกไปทางริมเขื่อน สมัยนั้น แพข้าจอดอยู่ที่ดงกล้วย แถวๆ ท่าทรายที่เรามาขึ้นแพนั้นแหละ ข้ากะไปแสวงหาที่สงบๆ จากปากคนซักพัก

เพราะขณะนั้น ข้ากำลังโดนข้อหา เป็นพระเย๊ดชี เขาว่ากันอย่างนั้น และเขาร่ำลือกันไปทั่วอำเภอ เพียงแต่ข้า ไม่ค่อยใส่ใจ ใครจะว่าอะไร ก็เชิญตามสบาย

ข้ามีบาตร จีวร สังฆาฏิ และสบง อังสะ ข้ามีแค่นี่ ข้าเข้าป่า ข้าเอาไปแค่นี้ มีดหรือเทียนผ้าเช็ดหน้า ของขลังสิ่งของอะไร ข้าไม่เอา

ข้าไปอยู่ในป่า ด้วยใจเพียงแค่นี้ วันแรกที่ออกเดิน ไปถึงห้วยแม่ปลาสร้อยก็เย็นแล้ว ข้านอนใต้ต้นมะเดื่อ บนก้อนหินใหญ่ ตรงน้ำตก

ตอนเช้ามีคนมาเที่ยวแถวนั้น เช้านั้น เขาแบ่งอาหารให้กิน กินเสร็จ ข้าก็ออกเดินทาง ทวนน้ำขึ้นไป ยามอยู่ในป่า มันอิสระอย่างบอกไม่ถูก

มันเพลินไปกับป่า ทั้งๆ ที่ข้าเอง ก็ไม่เคยเข้ามา ข้าเดินลึกไปเรื่อย ถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ตั้งความหวังไว้ว่า จะเดินทางไปไหน

มันจึงไม่กลัวหลง คนเราลงไม่กลัวหลง มันก็อิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงละวะ ข้าไปอย่างสัตว์ป่า กลด รองเท้า กาต้มน้ำ ไม้ขีดไฟ อะไรๆ ข้าก็ไม่มี

ถ้าฝนตก ข้าก็คงเปียกและหนาวสั่นแย่ ข้าเดินมาจนถึงทางแยกของสายน้ำ เอ..ข้าจะแยกไปทางสายไหนดี สายหนึ่งน้ำอุ่น อีกสาย น้ำเย็น

ข้าจึงเลือกไปทางน้ำอุ่น เดินตามสายน้ำไปเรื่อยๆ ที่สุดก็พบแอ่งที่มาของน้ำอุ่น มันเป็นน้ำที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน มันเป็น น้ำพุร้อน

มันร้อนขนาด ต้มไข่ได้สบาย แต่ไข่ข้า มันคงหมดอายุ ต้มยังไงก็คงไม่สุก วันนั้น ข้าเลย แก้ผ้า อาบน้ำ ตรงนั้น ก็คงจะไม่มีใครมาเห็นไข่ข้าหรอก มันเป็นกลางป่า

ข้ามันสัตว์ป่าอยู่แล้ว จึงอาบน้ำ อย่างสัตว์ป่า ข้าพักอยู่ที่ธารน้ำร้อน สามคืน ไม่ได้กินอะไร มาสี่วัน เรื่องไม่มีกินนี่ ข้างค่อนข้างเป็นเพื่อนกัน

แต่ข้าก็บิณฑบาตทุกเช้านะ ข้าเดินจากต้นไม้นั้น มาต้นไม้นี้ จากต้นนี้ ไปต้นโน้น ยืนหลับตา ระลึกถึงแต่กุศล แล้วแผ่เมตตาจิต เพื่อรับอาหารจากต้นไม้

ต้นไม้ก็ใส่บาตรให้ข้าทุกวัน เรียกว่า อาหารว่าง เขาใส่ลมมาให้ข้าฉันท์ ข้าก็เลยได้ฉันท์ลมทุกวัน แต่ผลแห่งจิต นิ่งสงบและปราชญ์เปรื่องในการพิจารณามาก

มันรู้เห็นอะไรได้ชัดและกว้าง แหม..มันอยากสึกออกไป แล้วไปโม้ๆๆๆๆๆ ให้มันสะใจ เป็นพระ เขาห้ามโม้ เขาคงกลัว คนจะไม่เชื่อ

เพราะจริงๆ แล้ว มันก็ไม่น่าเชื่อ ทั้งนั้น คืนวันที่ 4 ของที่นั่น ข้านั่งสงบอยู่บนก้อนหิน ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่จริงข้าก็นอนของข้าไปทั่วแหละ เอาสังฆาฏินั่นแหละ หนุนหัวเป็นหมอน

ส่วนจีวร ก็เป็นผ้าห่มนอน ขณะที่นั่ง จู่ๆ อากาศก็สงบ และเย็นลง ขนหัวข้าลุกตั้ง ประสบการณ์ มันบ่งบอกว่า ผีกำลังจะเล่นงาน

คนที่อยู่คนเดียว ท่ามกลางป่า ที่มืดสนิท และเต็มไปด้วย สัตว์ร้าย โดยเฉพาะที่นี่ เต็มไปด้วยช้างป่า ย่อมจะมีความพรั่นพรึง ไปตามสัญญาวิสัย

โดยเฉพาะข้า สันดาน ต้องปอดแหกก่อน แก้ไม่หาย กว่าจะหาย ต้องหาเหตุหาผล มาปลอบโยนจิตตัวเอง สารพันปัญหา ที่จะออกอุบายให้ออกจากอาการแห่งความผวานั้นให้ได้

อากาศรอบกาย เริ่มรัดตัว นี่… มันเอากูแน่ อะไรก็ไม่รู้ สภาวะ การเย็นยะเยือก ขนหัวลุกซู่ มันวิ่งสวนสนามกัน จากหัวยันส้นเท้า

คิดในใจ มันเอากูแน่ ทำไงดี ลืมคิดถึงเรื่องการเผชิญสิ่งเหล่านี้ ไปเหมือนกัน อากาศเริ่มรัดตัวรุนแรงขึ้น ตาก็เหมือนกับจะมีบางอย่างบังคับให้เปิดขึ้นมา

แต่ข้าพยายามข่ม นั่งสั่นๆ อยู่ซักพัก ในใจก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า เอาไงๆๆๆๆๆ ข้านึกถึงบทมนต์ขึ้นมา ธรรมดาเมื่อเข้าป่า ข้าจะไม่สวดมนต์อะไร

ข้าเกรงจะไปรบกวน และเป็นการไล่เหล่าพวกผี ที่เขาสถิตย์อยู่ในสถานที่นั้นๆ ข้าจึงไม่ค่อยสวด แต่ตอนนี้ ผี..มันกำลังจะฟัดข้า ข้าจะทำอย่างไรดี

ที่สุดก็สวดบทพาหุง และชินบัญชร แค่เริ่มสวดบริกรรม ขนหัวก็ลุกตั้งหนักกว่าเก่า แล้วอากาศที่หมุนติ้วๆๆๆๆ รัดรอบตัว

มันแตกกระจายดุจเป็นเม็ดทราย แล้วมันรวมตัว พุ่งกระจายเข้าใส่ร่างข้า เสียงดัง ซวบบบบ.. มันเหมือนมีเม็ดทรายละเอียดๆ สาดซัดเข้ามา เป็นล้านๆเม็ด ยังไงยังงั้น

และทุกอย่าง ก็พลัน…สงบลง ข้านั่งกรรมฐานยาว ตลอดยันเช้า ไม่ใช่เคร่งอะไร แต่ไม่กล้านอน กลัวมันจะวกกลับมา จิกข้าอีก

ตอนเช้า ข้าถึงเห็นว่า รอบๆ ตัวข้า มันสะอาด เตียนไร้ใบไม้ เหตุเพราะลมหมุน ที่มันพุ่งเข้ามา รัดตัวข้า มันเป็นเหตุ

แหม..เจอกันกลางวันเซ่ แน่จริง เพราะกลางวัน กำลังใจ มันมีสูง มันไม่กลัวอะไร เช้าแล้วก็มานั่ง พิจารณา ว่ามันเป็นอย่างไร และมันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้

และเรา จะอยู่ต่อ หรือจะกลับแพดี มันเกิดอาการ สองจิตสองใจ กลัวก็กลัวเหมือนกัน เพราะอยู่คนเดียว สติมันจับรู้อยู่ ว่ามีใจกลัว อาการแบบเมื่อคืน หากต้องเผชิญ

แต่อีกใจหนึ่ง กลัวทำไม คาถาเรามันก็มี เมื่อคืน มันยังแตกพ่าย หนีเราไปอยู่เลย อีกใจก็บอกว่า กลับเหอะ ไม่ได้กินอะไรมา 5 วันแล้ว มันหิวซะจนอิ่มหิวไปแล้ว ท้องมันเอียนหิวแล้ว

แถมไอ้ผีบ้านั้น ก็ยังไม่แน่นชัด ว่ามันจะไม่กลับมากวน ยิ่งมองเห็น พื้นที่เตียนเพราะแรงลมหมุน ใจก็ชักฝ่อๆ ลงมาอีก อะอ้า…นี่…นี่มันตัวกิเลสล้วนๆ

มันคอยชักนำ ที่จะผลักใส ในสิ่งที่มันไม่ต้องการ ความกลัวนี่ มันเป็นเรื่องของคน ไม่มีศีล เรามีสติระลึก ประจักษ์ใจ ว่าเรา เป็นผู้มีศีลแน่

เมื่อเรามีศีล ทำไมจะต้องไปกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า ศีลมันเป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่ว่า ผีมันจะมากลัว คนที่มีใจเป็นศีลนี่ ผลเมื่อคืน และที่ผ่านมา มันแสดงอยู่

ศีลและข้อศีล มันป้องกันผีไม่ได้ สิ่งที่ป้องกันผีได้ ก็คือ ใจที่มันไม่กลัวผีโน่น ส่วนศีล เป็นเครื่องอยู่ และเป็นที่ตั้งแห่งใจเท่านั้น

กลับเหอะ อย่าอยู่เลย ข้าเดินจงกลมไป มา อยู่จนสายใกล้ๆ จะเที่ยง ใจมันก็ปลงลงว่า…อยู่ต่อ มันจะเผชิญอะไร ก็เรื่องของมัน

การเผชิญ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เผชิญมาไม่รู้จะเท่าไหร่ เจียรตายก็เคย แต่ก็ยังรอดมาทุกที จนมาเดินไปเดินมาอยู่ตรงนี้

หากกลัวจัด ก็ให้มันตายไปด้วยความกลัว ณ. ที่ตรงนี้ เรามาตาย ไม่ใช่มากลัว คนมันจะตาย มานั่งกลัวนั่นกลัวนี่ ก็ไม่ต้องมา

พอปลงใจว่าอยู่ต่อ เทวดา ก็นำอาหารมาให้เลย เป็นไข่ต้ม และข้าวหลามแห้งๆ ข้าเลยซัดซะ ท้องกาง พอฉันท์เสร็จ ก็โมทนาบุญ ถามเหล่าเทวดาว่า จะไปไหนกัน

เขาบอกว่า เขาแวะ มาที่ตรงธารน้ำร้อนนี้ กะว่ามากินข้าวตรงนี้ ไม่นึกว่า จะมีพระ มาเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้ เขาบอกว่า เขาเป็นพนักงาน รักษาป่า อยู่ที่ศรีสวัสดิ์ตรงนี้เอง

นี่..ก็เลยแบ่งอาหารมาให้ทาน เขาสงสัยว่า ข้าคงหิวจัด เพราะไข่ 4 ใบข้าฟาดเกลี้ยง ข้าบอกว่า ข้าไม่ได้หิวหรอก ข้าไม่ได้กินอะไรมา 5 วันแล้ว

ถ้าไม่เกรงใจ เปลือกไข่ ข้าก็ไม่อยากทิ้ง พวกเทวดาเขาหัวเราะ บอกว่า เขาไม่รู้ว่า ตรงนี้ มีพระ ที่ยังไม่ได้กินข้าว ไม่งั้น เมื่อกี้ เขายิงเก้งตัวนั้นมาด้วยก็ดี

จะได้มาย่างถวาย กินได้หลายๆ วัน ข้าก็ได้แต่ยิ้มๆ ในความหวังดี ของเหล่าเทวดา ผู้รักรักษาป่า เมื่อเขาจากไป ข้าก็ไปเข้าสมาธิ เพื่อเตรียมรับมือ เผื่อคืนนี้ ผีตัวนั้น มันจะมาอีก

นี่..สามทุ่มกว่าแล้ว คืนนี้ คงต้องพอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาโม้กันต่อ วันนี้ ขอสวัสดี พรุ่งนี้ ข้าจะเล่าถึงตอน เพราะเหตุใดผีมันมาไล่ข้า

วันที่ 13 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง