กำลังใจมีแค่ไหน ต้องเอากายเอาใจไปทดสอบ

กำลังใจมีแค่ไหน ต้องเอากายเอาใจไปทดสอบ

346
0
แบ่งปัน

***** กำลังใจมีแค่ไหน ต้องเอากายเอาใจไปทดสอบ ****

ขอสาธุคุณยามเย็นๆ

ที่นี่อากาศเริ่มเย็น มืดๆนี่ เย็นยะเยือก

แต่จะเย็นแค่ไหน เราก็ยังมีผ้ามาคลุมมาห่ม

หนาวเย็นแค่นี้ เป็นเรื่องสบายมาก หากเรากล้าที่จะเผชิญกับมัน

คนเรามักจะอ่อ่นแอเสมอ ยามต้องเผิชิญกับผัสสะที่ไม่ได้ดั่งใจไม่ชอบใจ

เราไม่เคยทดสอบอะไรกับใจเราเลยว่ามันแข็งแรงและต้านทานสิ่งใดๆได้มากน้อยแค่ไหน

เมื่อไม่มีการเอาตนเองเข้าไปทดสอบ เอาแต่มโนและสารพัดที่ จะอ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อกิเลสของใจตนเอง

ความเป็นจริงทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่ใจตนเองว่า ใจตนเองจริงๆแล้ว มันแข็งแรงและอ่อนแอซักแค่ไหน

คนที่ไม่รู้กำลังใจของตนเอง

อย่าหวังเลยว่า จะเป็นนกน้อยที่โผบินออกไปสู่ความเป็นอิสระ ด้วยลำพังกำลังของตัวเอง ด้วยความคาดหวังที่จะบิน แต่ไร้เรี่ยวแรงจะทะยานบิน

สมัยหนึ่ง ข้านี่ได้อาศัยอยู่ในป่า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางความมืดมิด

กลางคืนในป่าทางกาญจน์นี่ มันมืดมิด และหนาวเย็น มันเย็นเสียดแทงเข้าไปฝังในกระดูก

สมัยนั้นก็ราวๆเดือนนี้แหละ ข้าเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ในป่า

วันนั้นฝนพรำ.. มันพรำตั้งแต่เย็น ข้านี่นั่งพิงต้นไม้ หลับตาหนาวสั่น

แต่กำลังสมาธิมันสูง มันข่มเวทนาจากความเย็นทั้งหลายลงได้

แต่เมื่อไหร่ที่สมาธิคลายตัว มันจะได้ยินเสียงฝนพรำ และเสียงน้ำที่ร่วงพราวลงมาจากยอดไม้

การปรุงแห่งจิต ก็จะทำให้สะท้านและสั่นขึ้นมา ฟันนี่กระทบกันกึ๊กๆๆ จนระงับไม่ได้

นี่..เป็นธรรมดาของมัน เมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

การหลับตากับลืมตา เมื่ออยู่ในป่าใหญ่ มันมีความเสมอกัน

รอบๆตัวไร้รูปทรงและสีสัน มันมืดมิดเพราะฝนพรำ

ความหนาวเย็นนี่ มันกินเข้าไปถึงกระดูกทีเดียว เย็นเช่นนี้ มันสามารถกระชากชีวิตออกจากวิถี่จิตได้เลยทีเดียว

แต่แม้ต้องตาย มันก็เต็มใจและรู้สึกถึงความภูมิใจ

ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนงทางแห่ง พระสัมมา มันไม่กลัวตาย

แม้จะหนาวเย็น ฝนพรำท่ามกลางความมืดมิดแค่ไหน ใจก็แสนจะตั้งมั่นไม่มีท้อถอยเลย

สมัยก่อน พระพุทธองค์ ท่านก็ทรงตรากตรำท่ามกลาง
ความหนาวเย็นเปล่าเปลี่ยว และมืดมิดเช่นนี้เหมือนกัน

เรามันลูกแม่ค้า แต่พระองค์ท่านเป็นลูกกษัตริย์ ท่านยังทนได้

ไฉนเลย ลูกแม่ค้าอย่างเรา มันจะทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ ที่ต้องเผชิญ

มันนั่งไปร้องไห้ไป ท่ามกลางฝนพรำที่มืดมิดและแสนหนาวนั่น

มันร้องไห้เพราะสงสารพระพุทธองค์เจ้า

ไม่ใช่ร้องไห้เพราะความหนาวและมืดมิดที่ข้ากำลังเผชิญ

มันมองเห็นสัจธรรมความจริงที่พระพุทธองค์เจ้าต้องฝ่าฟัน เพื่อให้ได้โมกขธรรม

6 ปี ที่ยืนหยัดคงทน กว่าจะตรัสรู้ธรรม ท่านคงหนาวเย็นและสาหัสยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก

นี่..กูคืนเดียว กูก็แทบจะตายสุดทนและเห็นชัดถึงทุกขเวทนา
ที่มันเล่นงานกายนี้ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ตอนเย็นๆ

ท่ามกลางฝนพรำ เสียงกระซิกๆ ร่ำให้ ของความน่าสงสาร
สังเวชแห่งคุณพระพุทธ มันสะท้านอยู่ในใจ

มันสะอึกสะอื้นจนแยกไม่ได้ว่าไหนน้ำตา ไหนสายฝน
มันหนาวเหน็บแสนเย็น จนฟันมันกระทบกันกึกๆๆ

นี่..เวทนาเหล่านี้ ที่เหลือทนที่พระพุทธองค์ต้องเผชิญมาเหมือนกัน

นี่..มันเห็นชัดอย่างนี้ มันจึงร้องไห้ออกมาท่ามกลางความ
หนาวเย็นและมืดมิดของสายฝน

มันไม่ได้ร้องไห้เพราะทุกขเวทนาของตนเอง

แต่มันร้องไห้ เพราะตนเองเห็นทุกขเวทนาของพระพุทธองค์ ที่ทรงตรากตรำโน่น

ตรงนี้แหละ ตรงนี้ที่ใครๆต่างมองไม่เห็น ที่มันมองไม่เห็น ก็เพราะต่างเอาตัวเข้าไปเป็น

แต่ข้านี่เห็นความทุกข์ที่ตนเป็น แต่ไม่ได้สงสารตนที่ตนเป็น

มันเห็นเป็นทุกข์ที่น่ากลัว ที่พระพุทธองค์ได้ทรงเผชิญ

มันเกิดความตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง ในความพรากเพียรของ
มนุษยชาติผู้หนึ่งที่ลำบากตน เพื่อการแสวงหาโมกขธรรม

มันไม่ใช่ง่ายเลยที่ทรงตรากตรำทำมา มันไม่ใช่ง่ายเลย

ย้อนมามองพวกปฏิบัติธรรมด้วยมโนและคิดเอา
เก่งด้วยอัตตาและความทรงจำด้วยความคิดแห่งตัวตน

แต่ตัวตนเจ้าของ ไม่เคยรู้รสแห่งความทุกข์ที่แสนทุกข์สุดขั้วหัวใจ

ความทะยานอยากแห่งตัณหาในธรรมทั้งหลาย มันก็เต็มยุ้งข้าว
แห่งอัตตาตัวตน

ผลแห่งกำลังใจย่อมมีไม่พอที่จะทะยานออกไป เพื่อหลุดพ้น
วงโคจรแห่งวัฏฏะ ที่มันไหลวนและวนเวียน

นี่…เพราะกำลังมันมีไม่พอ และเพราะไม่เคยได้ทดสอบกำลัง
ความต้านทานแห่งใจตนว่า ใจตนมีความเพียรและกำลังที่
จะต้านกระแสแห่งผัสสะได้มากน้อยเพียงไร

ผัสสะเมื่อมันเกิด…เวทนาย่อมเกิด
เวทนาเกิด…ตัณหาก็ย่อมผุดออกจากใจได้โดยไม่รู้จบเช่นกัน

เมื่อเรามีกำลังสติต้านไม่พอ มันย่อมไหลไปทางสมุทัย
ผลทั้งหลายก็เป็นทุกข์ที่ประดังเข้ามาอย่างไม่รู้จบ

แต่หากมีกำลัง มีสติ มีปัญญาพอ กระแสแห่งเวทนาที่เป็น
ตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ ย่อมไหลไปทางมรรค

ผลก็คือความสงบ ทุเลา เบาบาง จางคลายในทุกข์ทั้งหลาย

นี่..ผู้มีปัญญาย่อมรู้จัก อะไรคือ อริยสัจ

อะไรคือทุกข์

อะไรคือเหตุแห่งทุกข์

อะไรคือการดับทุกข์

อะไรคือเหตุแห่งการดับทุกข์

นี่…บุรุษเช่นนี้ ย่อมมีช่องว่างที่จะพอซุกตัวอยู่ในท่ามกลางแห่งกระแส

ไม่ว่ากระแสนั้นจะเชี่ยวกราดและโหมรุนแรงแค่ไหน

เรา…เป็นผู้ทดสอบกำลังใจว่า ใจเรามันเป็นใจที่ต้านกระแส หรือไหลไปตามกระแส ทั้งหลายทั้งปวง

เรา..เป็นผู้เลือกเดินและทดสอบกำลังใจเรา ด้วยตัวเราเอง

วันนี้ขอสวัสดี..!!

วันที่ 21 ธันวาคม 2558 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง