ฝรั่งถามฉันตอบ…นั่งสมาธิแล้วได้อะไร?

ฝรั่งถามฉันตอบ…นั่งสมาธิแล้วได้อะไร?

1364
0
แบ่งปัน

“สามลิตร วันทั้งวัน ตั้งแต่ไอมาอยู่กับสามลิตรนี้ ไอเห็นสามลิตร นั่งหลับตามั่ง เดินไปเดินมามั่ง ยืนนิ่งๆมั่ง วนเวียนไปมาอยู่เช่นนี้ ไม่มีอะไรทำรึไง หรือบวชมาแล้ว ต้องทำเช่นนี้”

พอจ: “ก็นี่แหละ ข้ากำลังทำงานอยู่”

ฝรั่ง: “โหยยย..! ทำงานอะไร ไอไม่เห็นมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย นั่งๆ เดินๆ ยืนๆ นั่งๆ จะมาบอกว่า นี่กำลังทำงานอยู่ นี่มันโกหกกันหน้าด้านๆ กันเลยนะนี่..!!”

พอจ: “ก็นี่แหละ งานของข้า ที่จะพึงทำ ในการบวชเข้ามา เป็นพระในศาสนานี้”

ฝรั่ง: “หยั่งงี้ การเป็นพระของ ศาสนาพุทธ ก็เป็นพวกเอาเปรียบสังคมน่ะซิ นั่งๆ เดินๆ ยืนๆ นอนๆ เดินไปเดินมาแล้วไปขอเขากิน งานการก็ไม่ทำ ไม่ออกไปช่วยเหลือสังคมอะไร มันไม่ทุเรศเกินไปรึ..?”

พอจ: “นี่แหละ ข้าขยันทำงานมากที่สุดแล้ว ถ้าขยันไปมากกว่านี้ ข้าก็จะลำบากตัว ทำให้เข้าใจธรรมชาติได้ยาก”

ฝรั่ง: “สามลิตร พูดตลกอีกแล้ว ถ้าหากการกระทำเช่นนี้ เป็นการทำงานที่ขยัน ศาสนาพุทธ พวกพระเหล่านี้ ก็เป็นมนุษย์ที่เอาเปรียบสังคม และคนอื่นๆมากๆ ทำไมไม่ออกไปช่วยชี้แนะคน เพื่อแลกกับอาหาร..”

พอจ: “คนเก่งๆ ที่เขาคอยชี้ มีอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องไปเสือก หน้าที่ข้า คือทำแค่นี้ ถ้ามองอย่างแกว่า ข้านี่แหละ กำลังเสียเปรียบ”

ฝรั่ง: “ตลกอีกแล้ว.. สามลิตรจะเสียเปรียบได้ไง ไอไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่เห็นทำงานอะไร เช้าขึ้นมาก็ไปเดินขออาหาร แถมมีคนรอเอาอาหารใส่ถุง ให้กินฟรีๆ เช้าๆทุกๆวัน มันจะไปเสียเปรียบตรงไหน..!!

พอจ: “ฮึ… ข้าเองก็เป็นคนมีเงินโว๊ย ที่บวชมาอยู่นี่ ไม่ได้เป็นคนยากจน ข้าเองก็ทำอะไรได้เหมือนแกทุกอย่างนั่นแหละ เราทำได้เหมือนๆกันทุกอย่าง แต่ข้าต้องงด ต้องอดทุกอย่าง เพื่อมาอยู่ทำตามแนวทางที่ข้าเชื่อ พุทธศาสนาเขาว่ากันมาอย่างนี้ ข้าก็ว่าไปตามแนวนี้ ข้าไม่มีหำรึไง แกได้ใช้ แต่ข้าอดใช้นะโว๊ย แกซิ..เอาเปรียบข้า ลองมางดดิงดอง อย่างข้ามั่งซิ แกจะได้รู้ชัดไม่ต้องสงสัย ว่าใครเสียเปรียบ..!!

ฝรั่ง: “โ น ว ว ว …..ก็สามลิตรเลือกเอง ..!”

พอจ: “แล้วแกมาด่าว่าข้าทำไม ก็งานของพระ ก็เป็นเช่นนี้ คือการทำสมาธิจิต ถ้าไม่ทำซิ เฮงซวย..!!”

ฝรั่ง: “วู้…ไปน้ำขุ่นๆ ทำสมาธิแล้วได้อะไร นั่งหลับตาเฉยๆ จะไปเห็นไปรู้อะไร ทางจีน ทิเบต อินเดีย ไอเองก็เคยเห็น คนแถบเอเซียนี้ ทำกันมาก พวกพราหมณ์เขาก็ทำกัน ไอเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ สามลิตรทำสมาธิทำไม ขอถามหน่อย นั่งหลับตากันนานๆนี้ เพื่ออะไร แคลงใจมานานแล้ว ไอลองดูหลายครั้ง. มันก็แค่นั่งหลับตา ไม่เห็นเกิดประโยชย์อะไรมากมาย ก็แค่ได้พัก แต่นี้เล่นกันเป็น ชั่วโมงๆ อย่างงี้… มันทำกันอย่างงมงายแล้ว.. ตอบมาซิ นั่งหลับตากันนานๆ เพื่ออะไร..?”

พอจ: “มันก็นั่งกันหลายสาเหตุ หลายความต้องการ แกอย่ามาเหมารวม ทำสมาธิเหมือนกัน แต่ความหมาย ไม่เหมือนกัน คนอื่น ข้าไม่ขอตอบ แต่สำหรับข้า นั่งหลับตา ก็เพื่อจะให้เห็นว่า มันจะได้ ไม่เห็นอะไร หรือมีอะไรที่เห็น

ฝรั่ง: “อะฮ้าาา …ตลกอีกแล้ว สมาลิตร.! หลับตา มันก็ไม่เห็นอะไร หรือมีอะไรอยู่แล้ว แล้วสามลิตรจะมานั่งฝึกหลับตาเพื่อไม่ให้เห็นอะไร หรือมีอะไร อีกทำไม..???”

พอจ: “มันคนละความหมายกับที่แกเข้าใจ จิ๊บ..!”

ฝรั่ง: “ตอบมา ง่ายๆเลย ไม่ต้องเล่นลิ้น ความจริงมันเห็นๆอยู่”

พอจ: “ตอนแกลืมตา แกเห็นอะไรต่อมิอะไมากมายใช่ไหม”

ฝรั่ง: “ใช่ ลืมตาก็ต้องเห็น”

พอจ: “ทีนี้ เมื่อหลับตา ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายหมด ไม่มีเหลือ แสง สี รูปทรง สูง ต่ำ ดำ ขาว แม้มันจะมาอยู่ตรงหน้า ก็มองไม่เห็นอะไรใช่ไหม”

ฝรั่ง: “โอ๊วว ..มันแน่นอนอยู่แล้ว หลับตามันจะไปเห็นอะไร ไม่เห็นจะแปลก”

พอจ: “ทีนี้ เมือไอลืมตาขึ้นมา ไอก็ทำความรู้สึกว่า ทุกอย่างที่เห็น มันก็ไม่มีอะไร เหมือนเช่นที่ข้านั่งหลับตา จะเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ข้าไม่หลงยึดถือไปกับสิ่งที่ได้เห็น มีความรู้สึกว่า มันก็เหมือนหลับตาอยู่ แม้จะลืมตาขึ้นดู ข้าก็ไม่เห็นเหมือนเช่น นั่งหลับตา ข้านั่งหลับตาบ่อยๆ ก็เพื่อให้ใจเคยชินกับสิ่งเหล่านี้ ให้ใจมันเคยชินว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น มันไม่เห็น…จะมีอะไร จะหลับตาหรือไม่หลับตา มันก็ไม่เห็น จะมีอะไร ที่มี มันก็แค่หนังตามาเปิดปิดสิ่งที่มี เป็นไม่มีก็แค่นั้น แล้วจะไปใส่ใจทำไม กับสิ่งที่มี ….

ฝรั่ง: ………….?????

พอจ: ทีนี้.. เมื่อใจมันชิน ที่มี ที่เห็น มันก็สักแต่ว่ามี สักแต่ว่าเห็น มันก็ไม่เป็นภัย หรือเกิดความทุกข์ใจอะไรกับใจข้า เพราะข้าทำใจไว้ว่า มันไม่เห็นมีอะไร เหมือนๆกับที่ข้า นั่งหลับตา..!!

ฝรั่ง: โหยยย….. สุดยอดดดด…! ไอเข้าใจแล้ว มันลึกซึ๊งมาก เพราะว่าตาเห็น จึงหลับตา . เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เห็น . เมื่อลืมตา สิ่งที่เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น . มันก็เหมือนไม่เห็น เหมือนตอนนั่งหลับตา. เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ใจจึงไม่ไหลไปกับสิ่งที่เห็น . เพราะที่เห็น กับหลับตาไม่เห็น มันก็เหมือนๆกัน.. โห…. ชัดมาก เปรียบเทียบได้เห็นภาพเลยนะเนี่ยย..!”

พอจ: “คราวนี้แกรู้รึยัง นั่งหลับตาทำสมาธิเฉยๆ ในความหมายของแก แล้วได้อะไร..”

ฝรั่ง: “รู้แล้วๆๆๆ ได้ความ ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่เอง”

พอจ: “ไอ้รู้น่ะ….แกมันยังรู้ไม่จริง นี่เป็นแค่เบสิก อนุบาล การนั่งหลับตา ต่อให้แกนั่งไปยันตายอีกล้านๆปี แกก็ไม่รู้อะไร ที่ทำกัน มีผลและความรู้แบบโลกๆที่เขารู้จักกันเท่านั้น

ไม่สามารถนำออกไปจากความหลงได้ การทำสมาธินี้ เป็นการพักจิต เพื่อเป็นกำลังในการพิจารณา ค้นหาความจริงที่เราเผชิญอยู่ ว่ามันเกิดความทุกข์ได้อย่างไร เราจะได้หาหนทางแก้ใขได้

หากมีแต่ความฟุ้งซ่าน มีแต่อารมณ์แห่งตัวตนสูง มันก็มีแต่ดันทุรังที่จะทำ ปัญญามันก็ถดถอยไป ไม่สามารถเข้าถึงเหตุแห่งความเป็นจริงได้เลย หากไม่เจอผู้ชี้ที่เข้าใจโลก

การทำจิตใจให้สงบ มันเป็นกำลังในทุกๆด้าน ไม่ว่าด้านร้ายหรือดี มันสร้างกำลังแห่งสติ และปัญญาให้เกิด คนไม่มีกำลังแห่งจิต ทำอะไรก็อ่อนแอ ไม่ตั้งมั่น ขาดกำลังใจ ต้านทานต่อกระแสใดๆ มากระทบได้น้อย ขาดสติที่เป็นหลักมั่น กำลังไม่พอที่จะไปเข้าใจเรื่องลึกๆที่เป็นธรรมชาติแห่งจิต

สติที่มี เป็นสติธรรมชาติของตัวตนเท่านั้น มันเป็นกำลังสติและปัญญาที่หลงๆกันอยู่ อันเนื่องมาจากอาศัยความทรงจำมาตัดสิน นี่เป็นเพราะขาดกำลังแห่ง สมาธิ ขาดตัวนี้ ยากนักหนาที่จะเข้าไปเข้าใจพุทธศาสนา โอเคไหมจิ๊บ..!!”

ฝรั่ง: “โอ เค้ ไอนี่ศึกษามาจากตำรา มันไม่ได้เรื่องเลย เพราะเราต้องมาตีความหมายด้วยตัวเราเอง เพราะอักษรมันชี้อยู่ มันไม่เหมือนกับที่ได้รับฟังสดๆอย่างนี้ ทำให้ไอเข้าใจได้เลย ว่าไอนี้……ยังโง่แท้..”

พอจ: “แสดงว่า แกฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ยอมรับว่าโง่”

ฝรั่ง: “อ้อ.. คนฉลาดก็คือ คนยอมรับว่าโง่นี่เอง”งั้นไอก็ ฉลาดแล้วซิ..!”

พอจ: “รู้สึกอย่างนี้ ก็เริ่มโง่อีกแล้ว”

ฝรั่ง: “โห๊….. เข้าใจยากจริงๆ พระ ส า ม ลิ ต ร..!!”