ทำอย่างโง่ๆ กับรู้ว่าโง่ก็ทำ มันต่างกัน

ทำอย่างโง่ๆ กับรู้ว่าโง่ก็ทำ มันต่างกัน

778
0
แบ่งปัน

14222182_1569807329995205_2723676077282797779_n

>>ลูกศิษย์ : ยถาให้ผี สัพพีให้คน // ในมุมมองที่แตกต่าง เมื่อพระขึ้นยถา เราชาวพุทธ ควรตั้งจิตอธิษฐาน รินน้ำใส่ภาชนะรองรับ ด้วยการสำรวมจิต ให้มั่นคง รินน้ำเป็นสายมิให้ขาด (ฝึกการสำรวมจิต ไปในตัว) การท่องบริกรรม ไม่สมควร รบกวนสมาธิพระด้วย แบบศาสนพิธี ก็เรียนมาแบบนั้นครับ พอพระรูปที่ 2 ขึ้นสัพพี เราก็พนมมือรับพร พระแบบนี้ ใช้ได้ ทั้งรัฐพิธี ราชพิธี และชาวบ้านทั่วไปครับ หาใช่บ้านนอก ทั่วไปที่ทำ

<<พระอาจารย์ : พึ่งว่างเล็กน้อย ขอกล่าวตอบอะไรซักหน่อย

คำว่าพระบ้านนอกนี่ ไม่ใช่ไปกล่าวว่า พระที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหรือพระที่อยู่ชนบท

แต่เป็นความหมายว่า ทำอะไรอธิบายอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ได้รับการอบรบและศึกษาให้ตรงตามความเป็นจริง ทำออกไปด้วยความคิดของตนเอง ที่คิดว่าถูก

ไม่ใช่ไปให้ความหมายว่า เป็นพระที่ไม่อยู่ในสังคมเมือง อย่างที่เข้าใจกัน

จะเป็นพระในเมือง พระมีการศึกษา แต่ไม่ยอมรับความฉลาดน้อยของตนเอง มันก็เป็นไอ้พระบ้านนอกเหมือนกันนั่นแหละ แค่ยกคำขึ้นมาเปรียบเปรย ว่าทำอะไรไม่รู้จักใช้ปัญญาตรอง ทั้งๆที่ผู้คนต่างกราบไหว้ พูดคิดอะไรคนทั้งหลายก็ว่าตาม

คำพูดบางคำ มันก็พูดไปเอามันเข้าว่า พวกนี้มันชี้ไม่ตรง ชี้ไปตามความรู้สึกนึกคิด และชอบพูดเป็นวลีคำ อย่างเช่น

ยถาเป็นของผี สัพพีเป็นของคน ไอ้คำว่ายถานี้ มันเป็นคำเปรียบเปรย แสดงอุปมา

ส่วนสัพพีนี้ กล่าวถึงสรรพสิ่งที่ไม่ดี พึงพินาศไป อะไรอย่างนี้

มันเป็นกลอนคำวลีบาลี ที่ใช้ท่องกัน ในการเปรียบเปรยและร้องขอ

เหมือนกับพระท่านกล่าวให้ฟัง หากเป็นภาษาไทย เมื่อท่านพูด เราก็ควรตั้งใจฟัง

แต่คำบาลี เราฟังไม่รู้เรื่อง ยอมรับเหอะว่า เรากำลังทำพฤติกรรมที่กำลังฟังสิ่งที่ไม่รู้ แล้วยินดีกับสิ่งที่ไม่รู้ นี่มันโง่ไหม ทั้งๆ ที่เป็นคนไทย พูดภาษาไทยกันก็ฟังกันได้

หรือเป็นพระแล้วให้พร ภาษาไทยไม่เป็น ให้พรแล้วมีใครเอามานั่งแปลคำกันอีกไหม ในเมื่อผู้รับฟังไม่รู้เรื่อง ผู้ให้ ก็ไปจำไปท่องมา แล้วนำมาให้ ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรเหมือนกัน

เณรก็ใช้ พระก็ใช้ รับบาตรเสร็จก็ท่องส่งๆกันไป มันเป็นความหมายว่า ต่างคนต่างได้ทำหน้าที่ของตน แต่ไม่เข้าใจในหน้าที่ของตน ที่ตนทำ

ภาษาบาลีคงไว้เพื่อแปลมาเป็นไทยนั้น มันใช่อยู่ แต่ผู้รู้แปลออกมาแล้ว เข้าใจแล้ว ก็ว่ากันเป็นภาษาไทยซิ ชาวบ้านจะได้รู้ด้วย มันจะได้ชื่นใจ รู้ว่าพูดว่าอะไร นี่ถ้าความหมายแปลออกมาแล้ว เป็นคำด่าแม่กัน เพราะเคยชินแต่บทท่อง ไม่มีใครรู้คำแปล มันจะไม่เป็นการตลกหรือ

นี่แปลแล้วรู้แล้ว แต่ดันเอาสิ่งที่คนอื่นไม่รู้นำมาใช้ ไม่ใช้สิ่งที่ตนรู้และตนแปลออกมา แต่กลับไปใช้ภาษาที่คนทั้งหลายไม่รู้เหมือนเดิม นี่มันโง่หรือฉลาด

ธรรมก็เหมือนกัน พูดขยายออกมาให้คนมันเข้าใจ ในภาษาของพ่อแม่ตนซิ พูดภาษาที่คนอื่นไม่รู้ มีแต่ตนรู้ แล้วจะไปพูดทำไม มันต่างอะไรกับหมาที่เห่าโฮ้งๆ

การที่พระให้พรหรือขึ้นยถา ไม่ควรทำอะไรทั้งนั้น ควรน้อมรับด้วยความตั้งใจ นี่คือความเป็นศิวิไลซ์แห่งความเป็นคน

พระพูดแล้วเราก็พูด แล้วใครจะเป็นคนฟัง ผลมันก็แสดงอยู่ ว่าต่างคนต่างพูด ดูกันตรงนี้ไม่เห็นหรือ

จะเรียนมาจะจำมา หรือรู้มาอย่างไร ก็ลองมาใช้สติปัญญาตรึกตรองดูซิ ว่าความจริงมันตรงรึเปล่า

ใช่ว่าเมื่อจำมารู้มา พระเขาชี้พระเขาสอน ทั้งที่ผลมันแสดงอยู่ ว่ามันต่างคนต่างพูด ไม่มีคนฟัง เราพูดเรื่องของเรา เขาพูดเรื่องของเขา อย่างนี่ถ้ายังเห็นเป็นการกระทำที่ดี มันก็เป็นใจที่ยึดความโง่หลายๆ

พระนี่แหละตัวดีนัก ยิ่งแก่ยิ่งยึด บวชนานแล้วยิ่งยึดจัดหากขาดปัญญา เที่ยวไปชี้ว่า เอาน้ำมาพระจะให้ยถา พระจะให้สัพพี คนก็ทำกันไป เพราะพระเขาชี้มาอย่างนั้น

ทีนี้พระก็หลับหูหลับตาว่ากันไป ฝ่ายโยมก็บ่นพึมพำรินน้ำกันไป ต่างคนก็ต่างทำ ที่สำคัญต่างก็ท่องเป็นบทมนต์ ซึ่งก็คือภาษาที่มนุษย์แต่งขึ้นมานี่แหละ แต่ไม่ใช้ภาษาที่ตนเข้าใจ ดันไปใช้ภาษาอื่นไกล ที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังใช้กัน ดูแล้วมันบ้าไหม

กลัวไม่ขลัง กลัวไม่ถึง กลัวผีฟังไม่รู้เรื่อง พุทธชี้มาทางปัญญา แต่พระชี้มาทางยึด ให้ทำแต่เรื่องโง่ๆ เรามันบ้าศาสนพิธี บ้าพิธีการ การสวดเป็นทำนอง จึงเกิดเป็นอาชีพขึ้นมา ใครบวชมาสวดไม่ได้ กลายเป็นไอ้โง่ในฝูงหมา มันงับเอาด้วยวาทะ ว่าไม่ใช่พระถ้าท่องอะไรหากินไม่เป็น

ข้านี่..อยู่ป่ามา ท่องอะไรไม่เป็น ไม่เคยไปสวดศพ ไม่เคยไปทำพิธี ไม่เคยเรียนบาลี ไม่ได้บ้าอะไรตามตำรา มันก็รู้ธรรมอย่างอาจหาญขึ้นมาได้

ธรรมในหนังสือตำรามีเท่าไหร่ มันก็รู้ก็เห็นความจริง เห็นความหมายที่แท้จริง นี่เป็นปาฏิหาริย์แห่งธรรม โดยไม่จำเป็นต้องไปท่องจำ และยึดมั่นถือมั่นกับตำราอะไรตรงไหนเลย ธรรมมันออกจากใจ เป็นที่มาแหล่งเดียวกัน ตำราทั้งหลาย ก็จดจำมาจากใจ ทั้งนั้น

ถอยออกมาดูความจริงๆกันซิ ว่าเรากระทำอะไรที่มันตลกและโง่ๆกันอยู่บ้าง ไม่มีใครถอยออกมาดูนี่ พอใครฉีกกำแพงออกมาซักคน ไอ้นี่ มันก็เป็นคนที่แหกคอก คนเขาไปซะแล้ว

แค่ให้ถอยออกมาดูความจริง เมื่อรู้แล้ว ก็ค่อยกลับไปทำต่อ อย่างที่คนเขาทำๆกัน อย่างนี้ไม่เป็นไร ทำแบบโง่ๆอย่างคนเขาไป ไม่ใช่ไม่ทำ แม้จะเข้าใจว่าเป็นเรื่องโง่ๆก็ตาม

สังคมเขาเป็นกันอย่างนั้น เราก็ว่ากันตามๆเขาไป ว่าตามๆกันไปด้วยความเป็นผู้รู้และเข้าใจ ในเรื่องที่ทำกันโง่ๆ กับทำกันอย่างโง่ๆ ด้วยความไม่รู้นี่ มันต่างความรู้สึกกันโข

คนยอมโง่ด้วยความรู้ กับ คนโง่ด้วยความไม่รู้ เราจะเลือกเป็นคนแบบไหน…!!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ท่องแข่งกับพระให้พร… ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง