ฝรั่ง: สามลิตร ไอเชื่อในแนวคิดแห่งพุทธ ตามที่สามลิตรยกตัวอย่าง ให้ไอฟัง มันเห็นภาพชัด ทำให้ไอเข้าใจมากๆ ว่าไอเองนี้ มองจากมุมของไอ มากกว่ามองจากมุมของชาวพุทธ ในความมืดมิดนั้น มันก็ยังมีอะไรมากมาย ซ่อนเร้นอยู่ ที่คนอย่างไอยังไม่เคยรับรู้
สามลิตรยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ไอดู ทำให้ไอรู้ว่า ไอยังโง่อยู่ กับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่นั่น มันก็แค่ “เปรียบเทียบ” ให้ดูให้รู้ไม่ใช่หรือ..!!
พอจ: ใช่..!! ก็แกบอกว่า พุทธศาสนาเลื่อนลอย พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีหลักฐาน ดีแต่พูดเรื่องงมงาย ข้าก็แค่ชี้ให้เห็นว่า ความคิดเช่นนั้น แกยังไม่รู้จริง มันยังมีสิ่งที่แกยังไม่สามารถหยั่งออกไปล่วงรู้อีกมากมาย
โดยเฉพาะเรื่อง “นามธรรม” ส่วนความรู้ที่แกมี ที่แกศึกษาและเข้าใจ พิสูจน์ได้ มันเป็น “รูปธรรม” แม้จะอยู่ในสิ่งเดียวกัน แต่มันคนละด้านคนละตัวคนละระบบกัน วิทยาศาสตร์พิสูจน์ยังไง ก็ไม่เจอ อธิบายไม่ได้ ถ้าแกยังเอาเรื่องวัตถุ มาเป็นเครื่องตัดสินในการ ถูก ผิด เหมือนสายชาร์จแบตคนละยี่ห้อ ใช้ไฟฟ้าชาร์จเหมือนกัน แต่รูเสียบไม่เหมืนกัน ชาร์จยังไง ไฟก็ไม่เข้า..
ฝรั่ง: “โอเคๆๆๆๆ ไอยอมรับแล้วว่า ไอยังโง่อยู่มาก แต่ยังไง ไอก็ยังข้องใจอยู่ดีนั่นแหละ จริงๆนะสามลิตร..”
พอจ: แสดงว่า แกยังโง่ไม่จริง
ฝรั่ง: “สามลิตร ฉลาดในการยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพชัด แต่มันก็แค่ตัวอย่างให้นึกตาม และคิดตามได้ เป็นแค่ข้อเทียบเคียงให้เห็นว่า เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนั้น ด้วยการพูดชี้ และอธิบายที่นิ่งอยู่กับที่ เป็นแค่ทำความเข้าใจ แล้วมันจะพิสูจน์ได้ไง ว่ามันจะช่วยให้เรารู้จริง ทำได้จริง เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็นนี้กัน จะ จะ”
พอจ: “ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย สำหรับชาวพุทธศาสนาที่เข้าใจธรรม หลักคำสอนจากพระพุทธองค์เจ้า แกอยากรู้อยากเห็นอะไร..? ”
ฝรั่ง: “งั้น สามลิตร ก็ยกมาให้ไอเห็น ไอรู้ซิ ไอ้สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นน่ะ เอามาให้ไอ เห็นตอนนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อะไรก็ได้ พิสูจน์กันให้เห็นและสัมผัสได้กันจะจะไปเลย ไม่เอาคำอธิบายสร้างภาพ สามลิตรทำได้ไหม หากทำได้ ไอพูดตรงนี้เลย สามลิตรจะขออะไรจากไอก็ได้ ไอยอมทุกอย่าง แต่หากสามลิตรทำไม่ได้ สามลิตรจะว่ายังไง..?”
พอจ: “โอ๊ยย…สบาย..!! หากเอาสิ่งที่แกมองไม่เห็นมากองอยู่ตรงหน้าแกไม่ได้ ข้ายกแพใหญ่หลังนี้ พร้อมทุกอย่างให้แกไปเลยจิ๊บ ”
ฝรั่ง: อะฮ้า…..ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า.. แน่นะสามลิตร นั่งเลยๆๆ ห้ามไปไหน ห้ามไปเอาอะไร เอาที่เห็นๆกันนี่แหละ ไหนๆ อะไรที่ไอมองไมเห็น เอาออกมาให้ไอเห็นซิ อย่าบอกว่าเชื้อโรคนะ เพราะเชื้อโรคมันต้องใช้เครื่องมือ เอากันที่ตาเห็นและจับได้ ต้องได้ และไอก็ต้องรู้ได้ด้วยตัวและตาของไอเอง ไหน…อยู่หนายยย ส า ม ลิ ต ร.!!!!
พอจ: “แกนี่พูดมาก แกหิวน้ำเปล่าจิ๊บ”
ฝรั่ง: “ก็…นิดหน่อย” อะฮ้า..อย่า…อย่า มาลูกเล่น ไอรู้ทัน ไอรู้ทัน นี่มีลูกไม้มาอีกแล้วใช่ไหม ขอร้อง..อย่า…อย่า ฮ่า ฮ่า
พอจ: “ก็แค่ถาม มันจะเป็นไรไป กะอีแค่น้ำ แกนี่…มันระแวงจนขี้ขึ้นหมอง เอ้า นี่…น้ำกินไปซะก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน เวลาข้าทำพิธีเรียก สิ่งที่แกมองไม่เห็น เดี๋ยวแกจะคอแห้ง..”
ฝรั่ง: “โอเค..ขอบใจ .!! ไม่มีลูกเล่นอะไรนะ เตือนไว้ก่อน ไอระวังอยู่ เอามาเลย สามลิตร..”
พอจ: “อย่า..อย่าเพิ่งดื่ม แกกลืนน้ำลายลงไปก่อน เดี๋ยวแก้วสกปรก..”
ฝรั่ง: “เห่ย..เห่ย… มีอะไรรึเปล่า โอเค..!! ไอกลืนลงไปแล้ว”
พอจ: ” เออๆ กลืนลงไปอีก อย่าให้เหลือไว้ในปาก”
ฝรั่ง: “ได้ ๆๆ เรื่องแค่นี้ สบาย นี่ยังไม่เริ่มพิธีใช่ไหม สามลิตรทำเอาไอชักเกร็ง สามลิตรไม่ใช่คน .! ไอต้องระวังตัว โอเค้..กลืนหมดแล้ว แล้วไงต่อ..”
พอจ: “แกขากน้ำลายออกมา แล้วบ้วนใส่แก้วน้ำนี้”
ฝรั่ง: “สามลิตรจะทำอะไร บ้วนออกไปทำไม ชักไม่เข้าท่าแล้ว”
พอจ: “เออๆๆ แกบ้วนออกมาใส่แก้วน้ำนี้เยอะๆ ไม่ต้องถาม ยุ่งชิบหาย.. ทำๆตามที่ข้าว่าเหอะ”
ฝรั่ง: “โถๆๆๆ แค่นี้ก็ดุด้วย โอ เค้ ๆ เอาไปเลย .. ข า กกกก ถุย..!! เอาไปเยอะๆ เอาไปเหอะ ไอยกให้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พอจ: “ขอบใจจิ๊บ เอ๊า.. แกกินคืนไป นี่น้ำนี้ ผสมน้ำลายแกเรียบร้อยแล้ว เอ้า แกกินเข้าไป กินไปเดี๋ยวนี้เลย.. แม่งน้ำลายเหม็นชิบหายไอ้เวร..”
ฝรั่ง: “โ น๊ ว ว ว ว โน ๆ ๆ ๆ ๆ จะบ้ารึ สามลิตร.. มันสกปรก.!! วู้…เล่นอะไรบ้าๆ ไม่เอา ๆ ลามลิตรนั่นแหละกิน เอาไปเหอะ ไอยกให้ โห ….เล่นอะไรบ้าๆ”
พอจ: “ทำไม..หือ จิ๊บ.! น้ำลายนี่มันสกปรกรึไง แกถึงกินไม่ได้ ”
ฝรั่ง: “โหยยย…. เล่นอะไรพิเรน นี่มันของสกปรก เอามาเล่นให้กินกันได้ ไม่เอา…วู้..!!” ของเหม็น..!!
พอจ: “แล้วเมื่อกี้นี้ ก่อนข้าจะยื่นแก้วให้ แกกลืนน้ำลายลงคอไปทำไม…หือ..”
ฝรั่ง: “อ้าว..ก็สามลิตรใช้ให้ไอกลืนนี่”
พอจ: “แล้วมันไม่สกปรกรึไง ถึงกลืนได้”
ฝรั่ง: “มันจะสกปรกอะไร ของมันอยู่ในปาก แต่นี่มันบ้วนออกมาแล้ว มันเป็นของสกปรก”
พอจ: “แล้วมันไม่ใช่น้ำลายจากปากแกรึไง..หือ”
ฝรั่ง: “มันก็ใช่… ! แต่นี่มันออกมาแล้ว และอยู่ในแก้ว มันมองเห็นอยู่ แล้วจะให้ไอกลืนกลับลงไปได้ไง แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว เล่นอะไรบ้า ๆ”
พอจ: “แสดงว่าแกยอมรับด้วยตัวแกเองแล้วใช่ไหม ว่าน้ำลายของแกมันสกปรก ส่วนที่แกกลืนลงคอไปนั้น นั่นเพราะแกไม่เห็น ไม่รู้ว่ามันสกปรก นี่ไง..! ข้ายกออกมาให้แกเห็นแล้ว จะ จะ ตา.. และแกเองก็ยอมรับกับข้าเองด้วยว่า มันเป็นของสกปรก กินกลับเข้าไปไม่ได้
มันสกปรก เมื่อแกเห็น แต่มันไม่สกปรก เพราะแกไม่เห็น ตะกี้นี้แกยังกลืนน้ำลายอันเป็นของสกปรก เพรียวๆ เอื๊อก ๆ ๆ ๆ ลงไป โดยที่แกไม่เคยคิด หรือรู้เห็นเลยว่า มันเป็นของ สกปรก”
ฝรั่ง: ………….??????? โ ห ย ย ย ย ย…!!
พอจ: “นี่..ข้าทำให้แกเห็น ตอนนี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ นำเอาสิ่งที่แกมองไม่เห็น ออกมาให้แกได้เห็น เห็นชัดกัน จะ จะ ตา.! พร้อมทั้งตัวแกเองก็ยอมรับใน “รูปธรรม” คือน้ำลาย ว่ามันสกปรก และแกก็ยอมรับใน “นามธรรม” คือความรู้สึก ว่ามันไม่ สกปรก ทั้งๆที่มันก็ยังเป็น “รูปธรรม” คือ สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ ในปากของแกเองนั่นแหละ ข้าชี้ในสิ่งที่แกไม่เห็น ดึงออกมาให้แกเห็น จะ จะ แก… พอใจไหม หรือมีอะไรที่จะแย้งอีก ก็บอกมา …”
ฝรั่ง ………………????? โ ห ย ย ย ย ย….!!!!!
พอจ: “แกไม่ต้องมาโหย..! ไอ้จิ๊บ..! โลกเรานี้ มีสองด้านเสมอ มันเป็นทางโลกกับทางธรรม พุทธศาสนา มองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นความจริงที่ซ่อนเร้น ยากที่จะตามรู้ตามเห็นได้ โดยวิสัยของมนุษย์ทั่วๆไป พระพุทธองค์ท่านฉลาดมากๆ ในเรื่องพวกนี้ ท่านทรงชี้ สิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้พวกเราเห็นและคิดตาม ว่าใช่หรือไม่ใช่ ใช้ปัญญาของพวกเราแต่ละคน ให้พิจารณาเห็นเอง รู้เอง ได้โดยปัญญา ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้แนะ
ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธ บางคนก็มองเห็น บางคนก็มองไม่เห็น สรุปไม่ได้ว่า แต่ละคนจะมีความรอบรู้ดั่งเช่นที่ พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ หรือเปล่า ความตื้น ลึก บาง หนา ตามความเข้าใจของแต่ละคน จะมีกันคนละเท่าไหร่ เปรตจึงมีมากกว่าปราชญ์ เพราะใช่ว่าทุกๆคน จะรู้เห็นเข้าใจได้เหมือนๆกัน เมื่อ จำแนกแจกจ่ายไปสู่ รุ่นต่อรุ่น ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ ไอ้ที่ว่าถูก มันก็ถูก ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามัน อาจจะไม่ใช่ แต่ก็ไม่แน่ มันอาจจะใช่ เพียงแต่มันไม่ถูก..!! เพระมันยังมีกาลเวลา เข้ามาเป็นเหตุปัจจัยอีก
พุทธศาสนาเน้นความจริงที่ซ่อนเร้น ที่มันอยู่กับตัวเรา ให้เห็นตรงตามความ เป็นจริง เพื่อจะได้ไม่หลงไปกับมัน ในที่นี้คือ ความไม่รู้จริง ในสิ่งที่คิด ที่ทำ ที่พูด แล้วเลยขอบเขตออกไปถึงวัตถุ บุคคล สิ่งของ ที่เราหลงยึดมั่นไปตามความรู้สึก ด้วยความไม่รู้จริง
พระพุทธองค์ทรงชี้ออกไปให้รับรู้ รับทราบ อีกหลายๆมุมที่มนุษย์ ยังไม่เคยรู้ ทั้งๆที่ “รู้อยู่แล้วในสิ่งนั้นๆ” นั่นแหละ .! เพียงแต่ว่า “รู้ไม่จริง” รู้เพียงด้านเดียว ที่จำมา ที่ทราบมา พอมีรู้ด้านอื่นๆ เข้ามาในสิ่งเดียวกัน “พวกฉลาด” ก็เลยเกิดอาการ “ขัดแย้ง” ขัดแย้งเพราะไม่เคยรู้มาก่อนในจิตใจ ความคิดก็เลยก่อตัวขึ้นต้าน ความรู้ใหม่ในสิ่งเดียวกันกับที่ตัวเองมีอยู่ อาการลังเลสงสัย ก็เลยก่อตัวขึ้นมา “อวดรู้” เพื่อกลบความรู้ใหม่ที่ตัวเองต้าน..!!
ที่พูดให้ฟังนี้เป็นแค่เบสิก เรียนเท่าไหร่ก็รู้ไม่จบ หากข้าคุยว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงเรียนรู้จบ ในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่รู้” แกก็จะประนามข้าว่า โอ่..พ่อตัวเอง ..!!
ที่พูดให้ฟังมาตั้งนานนี้เป็นแค่ “ใบ” และเป็นใบที่ร่วงๆด้วย ไม่ใช่แก่น ที่แกจะเข้าไปแสวงหา แกถือใบคำภีร์มาอวดข้าว่าเป็นแก่น ช่างไม้อย่างข้า ย่อมฟันหัก เพราะขำแก่นของแกมากไป แกพอจะเข้าใจไหมจิ๊บ….หือ.!!
ฝรั่ง: “ไอ….พอจะเข้าใจ”
พอจ: “แล้วแกก้มหน้า ตีหน้าเศร้า ทำไม..? ” หือ.
ฝรั่ง: “กลัว.. สามลิตร จะขออะไแพงๆ แล้วไอหาให้ไม่ได้”
พอจ: “แสดงว่า แกยอมรับ”
ฝรั่ง: “อือ..ฮึ..!! ใช่ๆ ขออะไรก็ได้ที่ไอพอมี ยกเว้นของแพงๆ กับน้ำแก้วนี้ ให้ไอกินเข้าไป พรีสสสสส สามลิ๊ตรร..”
พอจ: “โอเค.. ได้ ๆๆ แกจงไปอาบน้ำ แล้วล้างจั๊กแร้เหม็นเน่า ของแกซะ ข้าขอแค่นี้”
ฝรั่ง: “โ อ๊ ว ว ว ว โอเค้ ส บ า ย มั๊กๆ…..ส า ม ลิ ต ร..!!!