รู้อย่างทฤษฏี กับรู้อย่างปฏิบัติ แตกต่างกันคนละขั้ว

รู้อย่างทฤษฏี กับรู้อย่างปฏิบัติ แตกต่างกันคนละขั้ว

567
0
แบ่งปัน

ลูกศิษย์ ปุถุชนผู้ได้วิปัสสนาญาณ เห็น อนัตตลักขณะได้ แต่จะเพียงพอที่จะเห็นนิพพานได้ไหมแล้วแต่บุคคล (ปุถุชนทั่วไปเห็นไม่ได้)

พระอาจารย์ ท่านชมรมพุทธ.. นิพานเอาอะไรไปเห็น ผู้ที่เข้าใจในวิปัสนาญาณ มันเข้าใจในอนันตลักขณะ

โดยการพิจารณาลึกลงไปเป็นรอบๆ ชั้นๆ จนถึงที่สุด และเข้าใจโจทย์ในสรรพสิ่ง

ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้ อุปาทานจึงคลาย

ส่วนการพิจารณาที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นการพิจารณาจากอัตตา ที่เป็นรูป
ใช้วิปัสสนาญาณทางเพ่งก็ได้ ทางพิจารณาก็ได้ เพื่อความเห็นจริงในลักษณะ

แค่แยกย่อยยกขึ้นมาหนึ่งประเด็น คือรูปอัตตา และเมื่อยกเหตุผลทางฟิสิกส์ขึ้นมา เราก็สามารถเทียบเคียงและเห็นง่าย

ไม่ใช่ว่ากันตามภาษาตำราแล้วจำเอา

หากเราเข้าใจหนึ่งโจทย์ โจทย์ไหนๆ ก็มีสูตรเหมือนๆกัน และเป็นการง่ายที่จะเข้าใจ ง่ายในภาษาที่จะเข้าใจ

คนไทยโบราณชอบนักกับภาษาที่เข้าใจยากๆ ฟังดูเหมือนผู้มีภูมิ แต่ฟังแล้วมันไม่รู้เรื่อง

มหาเปรียญที่นี่ เก่งอภิธรรมทุกคน ยังไม่มีใครซักคน เข้าถึงอนัตตา

ที่เข้าถึงมันเป็นสัญญาอนัตตากันทั้งนั้น นึกคิดและปรุงแต่งเอาเอง ไม่ได้เกิดจากการระลึกรู้เป็นขั้นๆของปัญญาญาณเลย

จึงไม่มีกำลังพอที่จะไปน้อมจิตให้เห็นตามได้ เอาแต่ความคิดเข้าไปเห็น เห็นตามที่เขาว่าๆกันมา

ซึ่งยังไม่ถูกครบกาลเลย มันขาดตัวยืนยันจิต

การเห็นอนัตตาในวิถีปุถุชน เห็นได้โดยใช้ธรรมชาติสองตัว คือทางฟิสิกส์ และชีวภาพ แต่ถึงเห็นยังไง ก็ก้าวเข้าสู่ความเป็น อริยะชนแห่งพุทธไม่ได้ มันขาดวิปัสสนาญาณ

มันก็เหมือนหมอผ่าตัดศพ เห็นสรีระทุกส่วน กลับบ้านก็ยังมีอารมณ์เพศกับเพศตรงข้าม

นี่เพราะรู้แค่ธรรมชาติแห่งชีวภาพทางเดียว ยังเข้าไม่ถึง จิต กรรม และธรรมแห่งเหตุปัจจัย

ก็แสดงมาเพื่อให้ได้มีช่องทางแห่งความคิดเห็นทางธรรม กว้างๆกันขึ้นไป ยินดีในไมตรีทุกท่านที่ร่วมแสดงธรรมออกสู่สาธารณะชน
ขอขอบคุณ….!!

ลูกศิษย์ จิตเห็นนิพพพานคือรับรู้ถึงนิพพาน อัตตาเป็นสัญญาวิปลาส ไม่มีอยู่จริงๆ

การที่พระคุณท่านเก่งอภิธรรมเป็นอุปการะแก่การปฏิบัติ เพราะรู้สภาวะทางทฤษฎีมาแล้ว เมื่อปฏิบัติถึงขั้นวิปัสนา อาจารย์ก็ไม่ต้องมานั่งบอกสภาสวะปรมัตถ์อันเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน

ส่วนผู้ไม่เคยเรียนก็ต้องมานั่งเรียนก่อนจะปฏิบัติต่อ การเห็นสภาวะความเป็นอนัตตาที่คุณบอกคงเป็นแบบขั้นเรียนรู้ทฤษฎีไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ (ต้องเป็นคนรู้หลักพุทธเพราะคนทั่วไปคงไม่สนใจเรื่องนี้)

หมอที่ผ่าศพเขาน้อมใจไปว่าเป็นอาชีพ การผ่าศพเขาจะได้เงิน เขาทำเพื่อกาม ลองหาอุปมาใหม่ดู

พระอาจารย์ จะหาอุปมาไหนเล่าท่าน ในเมื่อแค่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า แม้รู้ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติ มันก็ใช่จะเข้าไปถอดถอน อุปทานได้

ไอ้ที่ชี้นี้ ชี้ให้เห็นโดยการยกตัวอย่าง มาหนึ่งสภาวะ คนทั่วไปก็เห็นได้ชัด ส่วนการปฏิบัติมันก็อีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวแห่งจิต นี่มันสมมุติเรื่องราวแห่งอักษร เพื่อเป็นแนวทางรู้

ก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฏี มันเป็นคุณไม่ใช่โทษ การเห็นก็ง่าย มีเหตุมีผลรับรอง

ใช่จะพูดขึ้นมากล่าวกันลอยๆ หรือแค่เพ้อเจ้อ ทุกคนต่างก็มีภูมิความรู้กันทั้งนั้น ตัดสินได้ด้วยตัวเราเอง หากไม่เข้าใจและไม่รู้จักทั้งในแง่ปฏิบัติและทฤษฏี

ไฉนเลย มันจะอธิบายให้คนทั้งหลายที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เข้าใจได้ง่าย ๆ

หากจะอธิบายให้ครบมันก็กว้างขวาง การยกสภาวะมาหนึ่งอย่าง ผู้มีปัญญา ย่อมเห็นได้ทั่วถึงในโจทย์อื่นๆได้เช่นกัน

นี่มันหน้าเพจ ทุกคนสามารถแสดงออกมาได้ ไม่ใช่มาปฏิบัติอะไรกัน ความรู้กับความจริงมันก็คนละอย่างกัน

แต่การกล่าว เรากล่าวอย่าง มีเหตุมีผล มารองรับ ใช่กล่าวกันอย่างเลื่อยลอย..!!

เรามันแค่จำแค่อ่านเขามาพูด พูดด้วยหลักการและทฤษฏี พุทธศาสนาไม่ได้เนื่องด้วย ทฤษฏี หรือตรรกะ ปรัญญา หลักการใดๆ

พุทธศาสนา อาศัยความเป็นจริงที่เกิดจากการรู้ตรง ที่เป็นประสพการณ์ อาศัยปัญญาอันเกิดจากประสพการณ์

เล่าขานเป็นบัญญัติสมมุติ อธิบายขยายกาลแยกย่อยต่างๆลงไป ตามเหตุและปัจจัย

ที่สำคัญ ไม่มีอะไรเป็นตัวสัจธรรม ตัวสัจธรรมเป็นบัญญัติสมมุติ ที่ชี้ให้เห็นความหมาย อันเป็นอัตตาตัวหนึ่ง ที่เราหลงยึดกันก็แค่นั้น

สัจธรรมหนึ่งย่อมชี้สัจธรรมหนึ่ง เป็นกฏ อธิทัปปัจจยตา สัจธรรมอาศัยการร้อยเรียงเช่นนี้ จนครบกาล จึงได้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท

นี่..ผู้เข้าถึงปฏิจจสมุปบาท จึงมองเห็นความเป็น อนัตตา เพราะ อนัตตามันเป็นเหตุ อัตตามันเป็นผล

และผลนี้ มันคือสมมุติบัตญัติที่อยู่ในกฏแห่ง อธิทัปปัจยตา ร้อยเรียงกันมาจนเกิดเป็น ปฏิจจสมุปบาท

พูดกับพระนี่ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องว่ะ คงพอแค่นี้
พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง