อานิสงส์บุญ…. ที่ได้ถวายทาน

อานิสงส์บุญ…. ที่ได้ถวายทาน

1071
0
แบ่งปัน

*** “อานิสงส์บุญ…. ที่ได้ถวายทาน” ***

หวัดดียามเช้าจ้า กับธรรมแห่งอานิสงส์การถวายเรือที่ถามๆ กันมา การถวายเรือ เป็นทานประเภทวิหารทาน

คือเหล่าทุกคนได้ไช้ได้อาศัยร่วมกัน เหมือนโบสถ์วัดวิหาร เป็นทานอันเป็นสาธารณะประโยชน์

การสร้าง ห้องน้ำ สะพาน แท้งค์น้ำ หรืออะไร เพื่ออำนวยความสะดวก ต่อสาธารณะชน ล้วนจัด อยู่ในวิหารทานทั้งสิ้น 

การสร้างวิหารทาน หากทำเพื่อเป็นไปในทางสาธารณะ คือสละ ให้แก่สาธารณะชน ให้แก่ส่วนรวม โดยไม่ได้แสดงเจตนา เพื่อผลแห่งความผลทุกข์

ผลก็เป็นวิบากอีกอย่าง หากกระทำเพื่อสาธารณะชน ให้กับผู้มีศีลมีธรรม แต่ทำอย่างไม่ปราถนาอะไร ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศล วิบากก็แสดงผลอีกอย่าง

หากกระทำเพื่อสาธารณะชน ให้กับผู้มีศีล ผู้มีธรรม และแสดงเจตนา เป็นอนุสัยทาน เพื่อเกื้อหนุนบุญส่งไปสู่ความพ้นทุกข์ วิบากก็แสดงผลอีกอย่าง

ธรรมชาติแห่งการเสียสละทาน เรียกว่ากรรม เป็นกุศลกรรม มันมีวิบากเป็นผลสนองเจ้าของ อยู่เสมอ

ในที่นี้ เราจะกล่าวเฉพาะการถวายเรือ แต่การถวายอย่างอื่น ก็เหมือนๆ กัน

การทำทาน กับสัตว์ ก็ได้วิบากกุศลอย่างหนึ่ง แต่ไม่เท่ากับคน

การทำทานกับคนก็ได้วิบากกุศลอย่างหนึ่ง แต่ไม่เท่ากับเหล่าคนที่มีศีล

การทำกับกลุ่มคนที่มีศีล ก็ไม่เท่ากับกลุ่มคนที่ มีศีลพร้อมสมาธิ

การทำกับกลุ่มคนที่มีศีลพร้อมสมาธิ ก็ไม่เท่ากับกลุ่มคนที่มี ศีล สมาธิ พร้อมปัญญา

อานิสงส์นั้นมีวิบากแตกต่างกัน บางคนกล่าวว่า กูทำทานกับหมา ดีกว่าทำทานกับคน ปัญญาอย่างนี้ แคบและคิดผิด

สัตว์นั้น เราเอาความผูกพัน เข้าไปยึด เอากิเลสเข้าไปโถม แม้จะเลี้ยงดูอุ้มชู มากมายแค่ไหน อานิสงส์ไม่เท่ากับเลี้ยงดูคนหนึ่งคน แม้เลวแสนเลว และไม่รู้จักกันมาก่อน

เพราะการเป็นคนเขาเป็นผู้มีกุศลพ้นจากอบายภูมิมาแล้ว แต่สัตว์ที่แสนรัก ยังไม่พ้น ยังเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความทุศีลอยู่

คือขาดสติและการพิจารณา เพื่อความเป็นไปแห่งความพ้นทุกข์ พูดง่ายๆ สัตว์ทั้งหลาย ขาดความเป็นศีลที่จะเข้าไปเข้าใจ ความหมายแห่ง อริยสัจ

คนทั้งหลายเช่นกัน แม้อยู่ในร่างคน แต่หากปล่อยเวลา จมอยู่กับความสุขในการกิน ความสุขในการนอน ความสุขในการสืบพันธุ์ และรู้สึกถึงความระหวาดระแวงภัย สิ้นอัตภาพเมื่อไหร่ แม้ทำบุญมากแค่ไหน ก็ย่อมไปเป็นสัตว์อีก

นี่. เหตุเพราะขาดปัญญา ตรึกตรองตามหลักอริยสัจ ง่ายๆ ก็คือ ขาดหลักเหตุหลักผล แห่งอริยะปัญญา ที่อุตสาห์เกิดมาเป็นคนทั้งที

การทำทานนี้ หากเราถวายเรือ อย่างเช่น การช่วยผู้คนที่เขาน้ำท่วม กุศลวิบาก ก็แตกต่างออกไปอีก

ผลแห่งวิบากก็คือ เราจะเป็นผู้ที่มีบริวารช่วยเหลือ ยามลำบากทุกข์ยาก เป็นผู้มีพาหนะ ตลอดมากๆ ชาติ

เป็นที่พึ่งพาของเหล่าบริวารทั้งหลาย ด้วยอัตภาพ ที่แข็งแรง ทั้งกำลังและโภคทรัพย์

หากถวายให้กับหมู่ผู้ทรงศีล และเกื้อหนุนผู้ปฏิบัติธรรม ผลกุศลวิบาก จะเป็นผู้มีปัญญา เป็นที่พึ่งพาของเหล่าผู้คนทั้งหลาย ในการช่วยชี้ช่องทาง แห่งการดำเนิน มาทางปฏิบัติ

แต่หากแสดงเจตนา ถวายเพื่อเป็นปัจจัยแห่งความพ้นทุกข์ วิบากทั้งหลาย ก็จะแสดงไป สร้างเหตุเพื่อเกิดปัญญา

เช่นพบพาผู้ทรงคุณ เพื่อชี้นำทางในการออกจากทุกข์ได้ เท่าที่ปัญญาบารมีสร้างสมมา

อันว่ากรรมนี้ มันเป็นนิยามแห่งธรรมชาติ หนึ่งในห้า ที่พระพุทธองค์ ทรงชี้เอาไว้ นอกจากวิสัยภูมิแห่งพระโพธิญาณ เท่านั้น ที่จะแจ้งแทงลงไปลึกได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

เรียกว่าพุทธวิสัย เหล่าสาวกภูมิ ท่านก็ชี้ได้ไปตามปัญญาภูมิ ซึ่งแต่ละท่าน ก็ไม่เท่ากันอีก

แต่สรุปแล้ว ธรรมอันเป็นวิบากแห่งกรรมที่เป็นกุศล เป็นกรรมนิยามที่กว้างขวางและหลากหลาย

ธรรมนี้ อาศัยเจตนา ของเจ้าของเป็นเหตุ ส่วนวัตถุ เป็นแค่องค์ประกอบที่ตั้งแห่งใจ

วัตถุทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวบุญ ฉะนั้น จึงไม่ได้วัดกำลังแห่งบุญด้วย จำนวนหรือปริมาณขนาดแห่งวัตถุ

บุญทั้งหลาย อาศัยใจเกิด ใจที่มันสละแม้วัตถุใหญ่ๆ สำหรับใจเจ้าของ ย่อมเป็นบุญใหญ่ แม้วัตถุที่ว่าใหญ่นั้น จะเล็กและเพียงเล็กน้อยสำหรับ ผู้มีกำลังกว่าก็ตาม

บุญกุศลแห่งวิบาก ย่อมได้ใหญ่กว่า สำหรับเรา บางคนทำวัตถุใหญ่ แต่กำลังเขามาก มันก็เป็นบุญเล็กน้อยสำหรับเขา เพราะธรรมชาติ เขามีบุญเป็นทุนเดิมอยู่แล้

ธรรมชาติย่อมปรับความสมดุลให้กับทุกสรรพสิ่ง เป็นธรรมดาของมันเสมอ มีแต่ใจดวงนี้นี่แหละ ไม่ยอมรับ ธรรมชาติแห่งความเป็นจริงเอง มันชอบยัดเยียดและอยากได้มากๆ ทานแห่งวัตถุ เป็นเครื่องหนุนให้เกิด อภัยทาน

เราทำทานต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน หากยังมีใจที่ขาดปัญญา ในความละอายชั่วกลัวบาป เรียกง่ายๆ ว่า ยังเป็นผู้ทำทานทำบุญ แต่ไม่มีศีล

เช่นนี้ ทานทั้งหลาย ไม่ได้ช่วยให้ใจนี้ พ้นภูมิสัตว์ไปได้ แม้จะทำทานประเภท วิหารทาน อันเป็นทานสูงสุดก็ตาม

วัตถุทานทั้งหลาย ที่เป็นทาน มีวิบากอานิสงส์สูงสุดเป็นได้แค่ เสบียง เป็นเสบียงในการเป็นเครื่องดำเนิน เครื่องอยู่ และเกื้อหนุน ให้มีความเป็นอยู่ในชีวิตที่ง่ายขึ้นเท่านั้น

เราถวายเรือ สร้างวัด สร้างวัตถุให้แก่สาธารณะมากมาย หากปัญญาไม่พอให้พ้นทุกข์ เมื่อตายไปได้เกิดใหม่ ก็อาจจะได้ไปเป็นพระราชา

แต่เป็นพระราชาแห่งจิ้งจก แห่งไส้เดือน แห่งแมลงสาป มีอาหารที่อยู่ เครื่องสืบพันธุ์แห่งนารี อันสุขสบาย

นี่..เพราะขาดปัญญาอบรมใจให้เป็นมนุษยธรรมเต็มขั้นเต็มภูมิ ใจจึงยังหนีไม่พ้นภูมิแห่งอบาย

คือ ต้องกลายร่างไปเป็นสัตว์อีก แม้ทำบุญมาอย่างมากมายก็ตาม เรียกว่า ทำบุญอย่างเปรต ไม่ใช่การทำบุญอย่างปราชญ์

การทำบุญอย่างเปรตก็คือ การทำบุญ โดยขาดสติ โยนิโส หรือทำบุญเพื่อคาดหวัง ไม่ได้รับการอบรมธรรมแห่งการทำบุญกุศลจาก สัตบุรุษ

ผลแห่งวิบาก ยังอาจกระชาก ลงสู่อบายภูมิได้ ยังเป็นใจที่ไว้วางใจไม่ได้เลย ยังมีความไม่แน่นอน ในคติที่ไป

แต่การทำบุญอย่างปราชญ์ คือเมื่อทำบุญแล้ว พึงมีสติพิจารณาธรรม อันเกิดจากธรรมแห่งสัตบุรุษ ก็จะเกิดศีล

ศีลนี้ จะไปอบรมสมาธิให้เกิดปัญญา ความละอายใจเกรงกลัวต่อความชั่ว ก็จะเกิด นี่…ทานมันไปอบรมศีล

ศีลเช่นนี้ เป็นศีลวิมุติ ที่เกิดความบริสุทธิ์ด้วยใจ ที่ได้รับการอบรม คือสติที่มีปัญญาละอายชั่ว กลัวบาป

เมื่อศีลเต็ม ใจจะเกิด อภัยทานขึ้นมา ใจที่มีอภัยทาน ย่อมเป็นใจที่ปิด อบายภูมิ เพราะการอภัย ที่มีเหตุปัจจัยมาจากความมีศีล

เป็นธรรมแห่งอริยชน ที่ก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นชาวบ้านชั้นดี นั้นก็คือ ผู้ที่ได้ชื่อเรียกว่า พระโสดาบัน

นี่..พระโสดาบัน ปิดอบายภูมิอย่างแน่นอน นี่..เป็นชาวบ้านชั้นดี ที่ยังมีเมียได้ เป็นชาวบ้านที่มีใจเป็นศีล ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย อภัยทาน แม้แต่ศัตรูที่มารุกรานใจ

เช้านี้ ขอให้ทุกคน ก้าวขึ้นมาเป็นใจที่อย่างน้อยๆ เป็นพระโสดาบันให้หมดทุกคน

การฟังธรรมก็บรรลุเป็นพระโสดาบันได้โดยง่าย และพวกเราทำหลาย ทำกันได้ง่ายๆ กันทุกๆ คน ขอให้เชื่อข้าเหอะ

….เช้านี้ ขอหวัดดี พระโสดาบันทุกท่านที่จะเป็นและเป็นไปแล้ว ขอสาธุคุณ…!!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง อานิสงส์..แห่งการถวายเรือ ต่อมาอีกหน่อย ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง