กรรม….เราเป็นผู้เลือกหรือแล้วแต่กรรม

กรรม….เราเป็นผู้เลือกหรือแล้วแต่กรรม

992
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : พระอาจารย์คะ เราเกิดมาทำไมค่ะ เค้าว่าเกิดมาใช้กรรม จริงๆ เหรอคะ

กรรม....เราเป็นผู้เลือกหรือแล้วแต่กรรม<< พระอาจารย์ : คำว่าใช้กรรมนี้ มันแยกออกเป็นสองกลุ่มอีก สาวน้อยรุ้ง

~~ นัยยะแรก เกิดมาใช้กรรมในความเข้าใจที่ว่า เราเกิดมาชดใช้

~~ อีกนัยยะหนึ่ง เกิดมา เพื่อได้ใช้

บางคนเขายากจนค่นแค้ เขาทนลำบากแสนสาหัส เรามักจะจัดอยู่ในส่วนแห่งการ เกิดมา เพื่อชดใช้กรรม

ส่วนอีกบางคน เขาเกิดมาพรั้งพร้อม เต็มไปด้วย ความสุขสบาย ในเครื่อง บริโภคและอุปโภค ที่อยู่อาศัย ทรัพย์สิน บริวารมากมาย เรามองว่า เขาเกิดมาเพื่อเสวยสุข ไม่มีกรรม

หากเรามองด้วยปัญญา ทั้งสองฟาก ต่างเป็นการเสวยกรรม ด้วยกันทั้งคู่

เพราะการได้เกิดกำเนิดมา มันเนื่องด้วย เหตุแห่งเจตนา ที่กระทำ ตรงนั้น เราเรียกว่า ต้นเหตุแห่งกรรม

เจตนานี้ มันอาศัยกาล ที่เป็นเหตุแห่งอดีต เพื่อยังผลเป็นวิบาก ในอนาคต

เราทั้งหลาย ที่ต่างได้เกิดมาเพื่อเสวยกรรม มันเป็นผลแห่งวิบาก อนาคตผลของปัจจุบัน

ในอดีตแห่งกรรม ที่ได้กระทำโดยเจตนา

ผลนี้ เรากำลังเก็บดอกเก็บผล เพื่อเสวยอยู่ วิบากกรรมให้ผลมาทางด้านถูกใจ เราก็ชอบใจ

โดยไม่รู้ว่านี่ก็คือผลแห่งกรรม ที่มันเป็นกรรมทางกุศล มาให้ผล

วิบากกรรม ให้ผลมาทางด้านไม่ถูกใจ เราก็ไม่ชอบใจ อัดอัดขัดข้องไปกับผลของมันอยากจะผลักใสออกไปจากใจ

โดยไม่รู้ว่า นี่เป็นผลแห่งกรรม ที่มันเป็นวิบากกรรม ทางอกุศล มาให้ผล

หากมองให้ลึกลงไปอีก กรรมทั้งหลาย มันก็ตอบสนอง โดยไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใดๆ

เป็นแต่ใจของเราเองนี้แหละ มันดันไปเป็นเจ้าของ และไหลไปตามกระแสแห่งผลวิบากกรรม

เมื่อถูกใจ เราก็ชอบ ไปซะหมด

ยามไม่ถูกใจ อะไร กูก็ไม่ชอบ ไปซะหมด

ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้าของ ว่าจะไหลไปทางไหน

หากไหลมาทางก่อ มันก็เป็น สมุทัย ผลของมัน ก็ย่อมทุกข์ใจ

ในวิบากผลที่แตกหน่อออกมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หากไหลมาทางดับ มันก็เป็น มรรค ผลของมัน ก็จะบรรเทา สงบ เย็นลง ไม่เร่าร้อน

วิบากผลที่จะแตกหน่อ ก็ฝ่อ และเหี่ยวแห้ง ไม่แทงใบเป็นรากลำต้นและแผ่กิ่งสาขา

ออกดอกออกผล ให้เป็นที่ทุกข์ใจ อีกต่อไป

ตราบใดที่ยังเกี่ยวเนื่องด้วยสังขาร เรา..ต้องเผชิญผลแห่งวิบากกรรม ตลอดทุกลมหายใจ

เพียงแต่ บางวิบากและผลกรรมส่วนใหญ่ ใจเรามันต้านทานได้ จึงดูว่า เราไม่ได้ เผชิญผลของวิบากกรรม

เราซื้อน้ำส้มกล่องมาหนึ่งกล่อง เราชอบกินน้ำส้มกล่อง

เราจะแช่เย็นเก็บไว้กินยามเย็นๆ หลังเลิกงาน อันแสนเหนื่อยและโหดร้าย

เรามั่นหมาย ในน้ำส้มกล่อง ของเราที่ซื้อมาแช่เย็นไว้ เสร็จจากงาน อันแสนเหนื่อย

ขอน้ำส้มเย็นๆ ซักกล่อง เปิดตู้แช่ เพื่อจะกินน้ำส้มของเรา …!!

เขย่าดูแล้ว น้ำส้ม….หายไปครึ่งหนึ่ง โอวว..มันหายไปไหน  นี่แสดงว่า มีคนมาแอบขโมยไป

ความเหนื่อล้า และความเป็นเจ้าของ มันจะแสดงตัวออกมา ว่าเรา มีใจไหลไปในทิศไหน

ผลเหล่านี้ ที่น้ำส้มหายไป มันคือผลแห่งวิบากกรรม ที่เราจำ..ต้องเผชิญ

น้ำส้มแค่ครึ่งกล่อง มันทำลาย ทุกคน ทำลายเพื่อน ทำลายครอบครัว ทำลายเจ้าตัว

และสามารถขยาย ไปทำลายโลกได้ทั้งใบ ตามเหตุปัจจัย ของกำลังแห่งความเป็นเจ้าของ

นี่…คือใจที่ไหลมาทางฟากก่อ เป็นใจที่เป็นทาสแห่งสมุทัย

ผลก็คือ รอบข้างบรรลัยไป เพราะเหตุแห่งใจ ที่ยึดน้ำส้มมันหายไป ด้วยความดุร้ายของกำลังใจ ที่มันหวงแหน

ใจที่มันต้านวิบากกรรม ที่ต้องเผชิญไม่ไหว ทำให้ใจเจ้าของ โดนวิบากเผา เป็นฟืนเป็นไฟ

มันจักก่อเหตุขยายผลออกไป ให้ใครๆ ต้องบรรลัย ไปกับใจ ที่มันเร่าร้อน

นี่..คือผู้พ่าย ธารร้อนแห่งกระแสใจ ที่ไหลออกมาจากการเผชิญ วิบากกรรม

แต่ผลเดียวกันนี้ เหตุการณ์เดียวกันนี้ กับใจเดียวดวงนี้ ที่เจ้าของต้องเผชิญ

เปิดตู้แช่ออกมา เขย่าแล้ว น้ำส้มข้า มันหายไปครึ่งหนึ่ง

ถอนหายใจ ร้องโฮ่… โชคดี ที่มันไม่แดกของกูหมด ฮ่าๆๆ ยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

แหม…มันต้องหันไปขอบใจ ที่ใครๆ คนนั้น ยังอุตสาห์เหลือไว้ให้

ขอบใจๆๆๆๆๆ ยกซดน้ำส้มที่เหลือ สบายอุรา อาบน้ำอาบท่า ชวนเมียมา จึ่งจึ้ง หนุกกว่ากันเยอะเลย

นี่…วิบากกรรม ตัวเดียวกัน ผลเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน และนี่ก็คือ วิบากกรรม ที่ใจดวงนี้ ต้องเผชิญ

 

กรรม ไม่มีใครมาแก้ได้ ไม่มีใครจะเป็นใหญ่หลบหลีกผลแห่งกรรม

แต่เรา…เลือกที่จะลิขิต และขีดเส้นชีวิต ไม่ตกไปในกระแสแห่งวิบากกรรมได้

 

เรา…เป็นผู้เลือก และลิขิต ชีวิตเรา โดยไม่ตกลงไปในกระแส ที่แล้วแต่เวรแล้วแต่กรรม มันจะนำไป

กรรม เราต้องเผชิญ นี่..เป็นธรรมชาติ แต่เรา เป็นผู้เลือกได้ ว่าใจเจ้าของ จะให้ไหลไปทางไหน

หากเลือกและตัดสินใจ มาทางก่อ แน่นอน นี่เรียกว่า สมุทัย

ผลแห่งความเป็นไป ก็คือทุกข์ ที่ขยายแตกใบ ออกไปโดยไม่รู้จบ

หากเราเลือก และตัดสินใจ มาทางดับ นี่ เป็นหนทางแห่งมรรค ผลก็คือ สงบ เย็น เป็น นิโรธะ

การที่จะเดินทางมรรคได้ เพื่อสยบกรรม มันต้องได้รับฟัง ธรรมแห่งสัตบุรุษ

ธรรมแห่งสัตบุรุษ จะชี้ทาง ให้ใจเกิดประจักษ์ ตามปัญญาเจ้าของ ว่านี่ทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่การดับทุกข์ นี่หนทางแห่งการดับทุกข์
กระบวนการเช่นนี้ เรียกว่า กระบวนการแห่ง อริยสัจ อาศัยสติ เป็นตัวต้านกระแส

ใจที่มีสติ ย่อมเบรค และชลอ การไหลแห่งใจ ที่หมุนแล่นไป กับกระแสแห่งวิบากกรรม

เรา..เลือกที่จะต้านกระแสแห่งกรรมได้ โดยการเดินบนทางสายกลาง

ผู้ที่ดำเนินทางสายกลาง ก็คือผู้ที่ยอมรับว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง

ยอมรับมัน อย่าทุรนทุราย ที่จะเข้าไปเสือกนักเลย

ใจนี้ ก็จะเป็นใจที่มีอริยสัจ เป็นเครื่องดำเนิน คือเป็นคนมีสติ มีเหตุมีผล

คนมีเหตุมีผล ก็คือคน ที่มีปัญญา รู้เห็นว่า อะไรควร อะไรไม่ควร

คนที่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นคนที่มีความละอายต่อบาป

คนที่ละอายต่อบาป คือคนที่มีศีล

คนที่มีศีล อาศัยความสำรวม

คนที่มีความสำรวม อาศัย การมีสติ

คนที่มีสติ อาศัยการพิจารณา

คนที่มีการพิจารณา อาศัยความมีศรัทธา เห็นตรง

คนที่มีศรัทธา อาศัย การได้รับฟังธรรมจาก สัตบุรุษ

คนที่รับฟังธรรมจากสัตบุรุษ ย่อมรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง ตามปัญญาตน โดยไม่ต้องเชื่อใคร

เราทุกคนมีปัญญาสอดส่อง และเข้าใจในความจริงใดๆ ได้อยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว

เราจึงพึงมีสติ และพิจารณาธรรมทั้งหลายได้ โดยสติและกำลังปัญญาเรา ว่าอะไร ใช่ หรือไม่ใช่

สุดท้าย เราจะรู้ได้ด้วยใจของเรา ว่าวิบากกรรมทั้งหลาย มันไม่มี

ที่มี เพราะใจเรา มันขาดสติ กระโจนเข้าไปเป็นเจ้าของ ผลแห่งวิบาก เมื่อยามเผชิญ กรรม มันเป็นธรรมชาติแห่งนิยาม

มันเป็นธรรมชาติ เหมือน ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ไม่รู้ไม่ชี้ หรือขึ้นตรง ต่อสิ่งใดๆ โดยบังคับบัญชา

มีแต่เพียงใจนี้ ที่มักไปหลงว่า กรรมทั้งหลาย มันเป็นของกู และตัวกู…เสือกเกิด มามีกรรม

แม่งงงง…… ไอ้กูนี้..แสนโง่หลายเน๊อะ..!!!!

ขอสาธุคุณ และหวัดดี กับการได้มีโอกาสมานั่งโม้ เพื่อความหนุกหนานทางธรรมกัน ในยามเช้าๆ

เช้าที่สายแล้วนี้ ผู้เฒ่า ขอสวัสดี มีความสุขกันทุกคน…….!!!!

พระธรรมเทศนา ณ จากบทธรรม เรื่อง ตัวกู… ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง