นิพพาน มีกี่ทาง

นิพพาน มีกี่ทาง

1128
0
แบ่งปัน

มีคำถามกันในห้องไลน์ ว่าการไปนิพพาน เราฝึกเพื่อการดำเนินไปได้กี่ทาง ทางไหนถูกที่สุด ทางไหนผิด เพราะมีหลากหลายคำสอน และการชี้ นั่นก็ถูก นี่ก็ถูก เราจะรู้ได้ยังไง และเกิดการถกเถียงกันถึงแนวทาง

พระอาจารย์ได้มาช่วยชี้และอธิบายให้ ท่านกล่าวให้ฟังในห้องไลน์ว่า

เราคุยกันไม่ค่อยตรงคำถาม น้องเขาถามว่าการไปนิพพานมีหลายวิธีไหม
มันตอบได้หลากหลาย หากเราไม่รู้จักกาล เราก็เถียงกันตาย มันมีช่องโว่ให้ตอบได้มากมา
การจะไปนิพพาน ต้องถามว่า เริ่มต้นยังไง…..

หากคำถามนี้ย้อนกลับไป คนถามก็จะกระชับเข้ามา ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้
การตอบคำถาม เราต้องดึงกระชับให้คำตอบแคบที่สุด
เท่าที่เขาพอรับได้ หากเข้าใจ มันก็จะได้จบแค่นั้น
ต่อไป อธิบายอย่างไร เขาก็ฟัง เพราะเขาพอจะมีภาชนะ รองรับคำตอบ
แต่ถ้าตอบกันที่ผลหรือเหตุกว้างๆ มันก็จะเกิดการงัดกันขึ้นมา

แต่การถามตอบกัน จะทำให้เกิดความรู้แห่งธรรมที่สูงขึ้น
เป็นเรื่องน่ายกย่อง การคุยกันเรื่องธรรม
ซัดกันไปตามภูมิจิตน่ะ ถูกต้อง ต้องเอากันเต็มที่

จะเป็นพระเป็นเจ้า อธิบายมาไม่ตรงหรือโด่งๆมา
เราก็สวนด้วยภูมิเราที่มีนั้นแหละ ไม่มีใครผิดถูกหรอก ทุกคนสามารถแย้งได้

หากยังไม่แจ้งตลอดในธรรม ตอบออกมา มันจะมีความสงสัยต่อ
และจะไม่เคลียร์ แต่การถามตอบทางธรรมนี้
เป็นสิ่งน่าสรรเสริญ พวกเราเก่ง น้องเขาอายุยังน้อย แต่อยากรู้เรื่องทางแห่ง การไปนิพพาน….วิธีการ ข้าคงไม่พูด แต่จะเปรียบเทียบให้ฟัง

เมื่อมีจุดเริ่มต้น คำว่านิพพาน ย่อมมีตัวตนและมีความหมาย มันเป็นเหมือนที่รวมสูงสุดเท่าที่มี…

เราเริ่มต้นก็เหมือนหยดน้ำ มันหยดทีละหยด
จะไปหยดอยู่ตรงไหน มันก็คือเริ่มทีละหยด
จะเริ่มด้วยวิธีไหน แบบไหนยังไง จะเหมือนไม่เหมือนใครยังไง
รวมแล้วมันก็กลั่นออกมาทีละหยด

จากหยดมันก็ไปรวมเป็นแอ่ง
แต่ละแอ่งขนาดรูปทรงก็ไม่เหมือนกันอีก
หากเป็นแอ่งใหญ มันก็หยดนาน
อาจนึกว่าแอ่งใหญ่นี้เป็นนิพพานไปเลยมันก็มี
เพราะหยดลงไปนานเกิน และยึดมั่นในแอ่งที่หยด

แต่ที่สุด แอ่งมันก็เต็ม เมื่อเต็มวิบากก็เริ่มให้ผล
คือการไหลออกไปจากแอ่ง เมื่อมาถึงขั้นนี้
เจ้าของหยด ก็จะรู้ได้ว่า ที่หยดๆอยู่ตั้งนานนั้น มันยังไม่ใช่
มันจะรู้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยน
มันจะมีเครื่องยืนยันใจ

มันก็เริ่มไหลออกไปสู่แอ่งใหม่
แอ่งไหม่เมื่อเต็ม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับขนาดของแอ่งอีก
ตอนนี้แทนที่จะหยด มันเป็นการไหลลงไปสู่แอ่ง
มันเป็นปัญญาที่หนาแน่นขึ้น มีกำลังมากขึ้น ไม่เป็นแค่หยดเล็กๆ

หากแอ่งมันใหญ่ มันก็อาจคิดว่านี่คือนิพพานอีก
เพราะไหลลงไปยังไง คือปฏิบัติเท่าไหร่มันก็ไม่เต็ม

แต่เมื่อเต็มด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ วิบากมันก็มาให้ผลอีก
น้ำมันก็เอ่อล้นออกไปสู่แอ่งที่ต่ำกว่า มันย่อมหาทางออกไปใหม่ หากไม่เหือดแห้งไปซะก่อน

นี่คือการดำเนินทางแห่งการปฏิบัติ ที่สุด ไม่ว่าจะผ่านมาซักกี่แอ่ง มันก็จะมารวมกันเป็นธารเล็กๆ เมื่อมาถึงธารเล็กๆ ถึงได้รู้ว่า นอกจากทางที่เราดำเนินมาแล้ว ยังมีแอ่งอื่นๆ ดำเนินมาถึงธารนี้ได้เหมือนกัน ทางเดินของเรา ไม่ใช่เป็นแค่ทางเดียวที่ถูก เพราะทุกแอ่ง มารวมลงในธารนี้หมด

ธารเล็กๆนี้ บางท่านก็เลยนึกว่าเป็นนิพพาน จึงอาจพอใจแค่ธารเล็กๆ
แต่เมื่อไหลไปๆ ก็ไปเจอธารเล็กๆธารอื่น ที่เขาไหลออกมาจากแนวทางอื่นเหมือนกัน
จึงรู้ว่า นอกจากแนวทางที่ตัวเองไหลหรือปฏิบัติอยู่นี่ มันไม่ใช่ถูกเราแค่ทางเดียว

มันยังมีอีกหลายธารหรือหลายทาง สามารไหลลงมา สู่จุดเดียวกับธารของเราได้เหมือนกัน เราคงเดินทางมาถูกทางแล้ว

เมื่อมารวมกันมากๆจากหลายสาย มันก็รวมกันเป็นบึง
หากพอใจแค่บึง ก็จะนึกว่าบึงนี้เป็นนิพพานอีก มันก็จะตายคาบึงนั้น ใครจะบอกจะว่ายังไง มันก็ไม่เชื่อ เพราะธารทุกสาย มารวมกันที่นี่

แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้บึงนั้นเต็มปรี่อีก จากความพยายามหนุนเนื่องของสายธาร
วิบากก็จะส่งผลให้บึงเอ่อไหลออกไปสู่ลำคลอง

ถึงได้รู้อีกว่า ไม่ใช่มีแค่เราบึงเดียว ที่เป็นนิพพานซะแล้ว แต่มันมีอีกหลายบึง ที่ไหลออกมาสู่ลำคลอง

ทีคิดว่าของเราดีแล้ว ถูกแล้ว บึงอื่นเขาก็มี เขาก็ถูกมาเหมือนกัน
ธารธรรมย่อมไหลมาบรรจบกัน จนเป็นคลองใหญ่
ในคลองใหญ่ มันก็เกิดมาจากหลายๆบึงล้นออกมารวมกัน
ลำคลองนี้มันก็เป็นนิพพานอีก เพราะมันใหญ่ เป็นศูนย์รวมของทุกสายธาร

ลำคลองนี้เมื่อมีกำลังไหลไปไม่แห้งเหือดไปซะก่อน
มันก็จะไหลออกไปสู่แม่น้ำ

เมื่อออกมาถึงแม่น้ำ ถึงได้รู้ว่า คลองนี้ก็ยังไม่ใช่นิพพาน ในแม่น้ำ มันก็มาจากหลายๆลำคลอง ที่ต่างไหลลงมารวมตัวกันอีก

เมื่อมาถึงแม่น้ำ จึงนึกว่าแม่น้ำ เป็นนิพพานอีก เพราะมันเป็นที่มาของหลายๆคลอง และดูว่า มันยิ่งใหญ่และใช่แน่ๆ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ ย่อมมีกำลังแห่งสายน้ำที่ที่มีปริมาณ

แม่น้ำที่ยังคงไหล ย่อมไหลไปบรรจบรวมกันที่แม่น้ำใหญ่ ก็จะไปยึดว่าแม่น้ำใหญ่ เป็นนิพพานอีก เพราะทุกแม่น้ำไหลลงมามารวมกัน ไม่มียิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว

แม่น้ำใหญ่ระดับมหา ย่อมนำแม่น้ำทั้งหลายมารวมกัน ไหลออกลงสู่ทะเล
ถึงได้รู้อีกว่า แม้แม่น้ำใหญก็ยังไม่ใช่นิพพาน
เมื่อไหลลงมาสู่ทะเล ไม่ว่าแม่น้ำสายไหนๆ จะเริ่มต้นมาอย่างไร หรือมีกลิ่นรสชาติแค่ไหน ต่างมีรสเดียวกันหมด

ทะเล ก็ยังเป็นจุดศูนย์รวมของหลากแม่น้ำ ตรงนี้เราก็จะบอกว่าเป็นนิพพาน
มันก็เป็นนิพพานแบบสมมุติ แม้จะรวมกันเป็นหนึ่ง มีรสชาติเดียวกัน

ทะเล เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของหยดน้ำ แต่เป็นหยดน้ำที่ใหญ่เท่าทะเล
มันยังมีที่ไหลออกไปอีก

ถึงตรงนี้ มันเป็นที่สุดเท่าที่มี เท่าที่เราจะรู้ได้เมื่อเรามีสมุมติอยู่ในโลก
ที่สุด ทะเลก็ไหลออกไปโดยการระเหย และเป็นฝนตกลงมาให้โลกได้ชุ่มฉ่ำ

กลายมาเป็นหยดน้ำใหม่ ที่ไม่ใช่หยดน้ำหยดเก่า
แต่เป็นหยดน้ำที่ก่อกำเนิดมาจากธรรมธาตุ

นิพพานจึงไม่มี ที่มี เป็นชื่อเรียกสมมุติของที่สิ้นสุดเป็นจุดๆ
ที่สำคัญ แม้มีชื่อว่านิพพาน แต่ไม่มีใครอยู่ในนิพพานซักคน

เพราะนิพพาน ไม่ใช่อะไรที่เราจะเข้าไปใส่ความหมายแห่งนิยามได้
ใส่เท่าใหร่ ผิดเท่านั้น แต่เป็นนิยามชื่อเรียกแห่งจุดหมายปลายทาง ที่สิ้นสุดการก่อกำเนิดในวัฏฏะ

ฉะนั้น ทางไปนิพพาน ต่างไหลกันมาได้หลายต่อหลายทาง หลายวิธี ไหลมารวมกันเป็นจุดๆ ถูกกันเป็นจุดๆ เพียงแต่มันยังมีอีก ที่เรายังเข้าไม่ถึง

แต่ถึงที่สุด มันมารวมกันเป็นแอ่งเดียว เป็นแอ่งใหญ่ ไม่ว่าจะมาจากหนไหน ต่างรวมกันเป็นทะลใหญ่ มีรสชาติเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครขัดแย้งใคร อะไรไหนๆ มันก็ถูกทั้งนั้น เมื่อเดินทางมาถึงที่สุดแห่งธารธรรม ที่เราสมมุติขึ้นมาบนโลก เหนือจากนั้น เกินวิสัย เป็นเรื่องอจินไตย เหนือโลกที่จะถกเถียงกันซะแล้ว

โอเค. แค่นี้นะ สำหรับยามเช้านี้ หนุ่มน้อยคนนี้
เป็นลูกของแตนเขา มีความสนใจมาทางด้านธรรม
นับว่าหายาก ข้าเองมักจะตอบให้เขาอยู่เนืองๆ เท่าที่เวลามี…ข้านี้ชื่นใจที่เด็กไทย สนใจทางธรรม…..ขอสาธุการ