กราบด้วยคุณกับกราบด้วยกิเลสมันแตกต่างกัน

กราบด้วยคุณกับกราบด้วยกิเลสมันแตกต่างกัน

1910
0
แบ่งปัน

นี่เป็นคำถามค้างไว้เมื่อปีก่อน.. เป็นเรื่องของพระกราบฤษี

การกราบนี่ มันก็เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่ง ไม่กราบก็เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่ง มันเป็นตัณหาด้วยกันทั้งคู่

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นทั้งสองฟาก ให้เจ้าของนั้นวางใจไปตามเหตุปัจจัยที่มีปัญญา มันเป็นเรื่องของแต่ละคน ที่มีความเชื่อความศรัทธา

แต่หากอยู่ในเพศบรรพชิต โลกย่อมติเตียน นี่เป็นธรรมดา

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของบุคคลเฉพาะตัว ที่จะตัดสินใจกระทำด้วยความศรัทธา

แต่ศรัทธามากนี่ มันก็งมงาย ขาดปัญญาว่าอะไรควรหรือไม่ควรอีก

แต่ปัญญามากไป มันก็มีแต่ความสงสัย พาลไปถึงเพ่งโทษผู้อื่น นี่ก็งมงายความสงสัยอีก โง่เหมือนกัน

การกราบด้วยอำนาจของงมงาย กับกราบด้วยอำนาจของปัญญานี่ มันแตกต่างกัน

คำถาม : พระอาจารย์ครับ แล้วฤษีตนในภาพนี้ล่ะครับ เห็นพระนิยมกราบกันจังเหมือนกัน อยากให้อาจารย์วินิจฉัยด้วยครับ

พระอาจารย์ : อธิบายให้ฟังพอเป็นธรรม

เรื่องภาพนี่ มันเป็นเรื่องที่คนถ่ายเขาไปถ่ายกันมา ที่ฤษีนั่งสูงกว่าพระ นี่เพราะพระเขานับถือท่านฤษี

ความศรัทธานี่ เราห้ามกันไม่ได้

ไม่ใช่ว่า การถากหัวห่มฝาด มันจะหมดจรด เดินตามธรรมวินัยมุ่งสู่พระนิพพาน เพียงอย่างเดียว แล้วต้องเป็นไปตามแบบอย่างที่เราคิด

ปัญญาแต่ละคน มันยังต้องอบรม มันมีไม่เสมอกัน

ฤษีเกศแก้วท่านนี้ ท่านไม่เคารพพระที่ไม่เป็นพระ แต่พระที่เป็นพระและมีคุณธรรม ฤษีเกศแก้วนอบน้อมและให้ความเคารพ

เราอย่าเพิ่งไปเอาอารมณ์ อันเฮงซวยแห่งอัตตาตัวตนเรา ตำหนิใครเลย พระเฮงซวยในเมืองมีมากมาย ที่หลอกลวงปลิ้นปล้น น่ารังเกียจ มีเยอะแยะ

เรามันเห็นว่า พระต้องสูงส่งกว่าฤษี ที่จริงพระมันก็ฤษีเหมือนกัน แตกต่างกันตรง สีเสื้อ การถากหัว และพิธีการ

เอาข้อศีลแบบเด็กน้อยท่องจำ มาเป็นวรรณบรรทัดฐานในการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ความคิดเช่นนี้ พวกเดียร์ถี่เขาคิดกันเป็นสรณะ

ฤษีที่มีดวงตาเห็นธรรม และตรัสรู้ เรายังเรียก พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเลย

คำว่าพุทธะ… นี่ มันเป็นเรื่องของปัญญา ใครเข้าถึงความมีปัญญาเห็นแจ้ง ก็เรียกว่าพระทั้งนั้น พระไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ และการถากหัวห่มฟาด

ที่พอแปลงกายแล้ว เป็นเทวดาผุดผ่อง น้อบน้อมต่อใครไม่ได้ น้อบน้อมใครเจ้าซักหน่อย มันจะเป็นจะตายเอา

นางวิสาขามีลูกมีผัว ท่านก็เรียกว่าพระ

ไม่ได้ใส่สีเสื้อฝาดถากหัว แต่มีดวงตาเห็นธรรมก็เรียกว่า พระ

แต่พวกถากหัวที่อยู่ในเสื้อฝาดห่มฝาด ท่านเรียกว่า สมมุติสงฆ์

แปลว่า สมมุติของหมู่เหล่า ในที่นี่เรียกว่าพระ

เมื่อพระพวกนี้ปัญญายังน้อย การนอบน้อมด้วยความศรัทธา มันก็เรื่องของเขา เป็นแต่เราที่มันเห็นแล้วไม่เข้าท่า

ไอ้ที่เราไปด่าเขานี่ มันคงจะเข้าท่านักละซิท่า ไอ้ห่าเอ้ย..

พระมีเป็นแสน ที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนี้ พวกหลวงพี่ เขายังชอบฤษีอยู่ ก็ปล่อยๆ แม่งเขาไปเหอะ

ไปเพ่งโทษเขาว่าเลว อัปรีย์สิ้นชาติความเป็นพระ เพ่งโทษเขา มันอัปปรีย์จัญไรยิ่งกว่าว่ะไอ้น้อง..!!

คำถาม : ขออนญาติคับผม ขอเน้นคือแม่.แม่คือผู้บังเกิดเก้าสูงยิ่งสิ่งใด .จริงยุว่าบวชพระยุในผ้าเหลือง..จริงแท้คือสมมุติสงฆ์ (ขอนุญาติ) เอาผ้าเหลืองออกก็ธรรมดาใช่ไหมคับ…ขอสรุป.ปฎิบัติโยมแม่ นอบน้อมการกราบแม่ ถือว่าสุดยอดและถูกต้องที่สุด..คับผม..

พระอาจารย์ : กราบเถอะ เรากราบแม่เพราะความเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด และมีคุณต่อชีวิตเรา

ไม่ได้กราบเพราะแม่นี้เป็นปุถุชนที่ดูต่ำกว่า แต่กราบด้วยปัญญา ที่รู้คุณในพระคุณของความเป็นแม่

การเอาเหตุผลและทิฎิฐิสมมุติ ว่ากราบไม่ได้เพราะเหตุแห่งบวช

คนโง่และดื้อด้านที่เห็นโต่งเท่านั้น ที่คิดเช่นนั้น

ยึดเอาท่าทางการน้อบน้อมต่อผู้มีคุณต่อชีวิต ดูว่าเป็นเรื่องอับปรีย์จัญไรไปซะนี่

กราบอย่างกิเลส กับกราบอย่างปัญญานี่ คนละฟากความหมายกัน

กราบแม่ด้วยความระลึกถึงคุณ เป็นมหามงคล 1 ใน 38 ประการ

การบวชถ้าถือตัวว่าตนเองเป็นพระผู้ประเสริฐ กราบใครไม่ได้ คิดเช่นนี้ มันก็เป็นจอมอัตตาตัวตนแล้ว

เป็นพระกราบฟ้ากราบดิน กราบหิน กราบปูน กราบกระดาษ กราบต้นไม้ กราบวัตถุที่ไม่รู้ไม่ชี้ นี่..โง่หลายยังกราบได้

แต่พอบอกว่ากราบแม่ได้ มันแย้งปรี๊ดด ขึ้นมาเชียวไอ้เหี้ย…!!

บวชแล้วทำตัวเป็นเทวดา กราบแม่ยังไม่ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีคุณธรรมอะไรบังเกิดขึ้นในใจเลย

เอาทิฏฐิแห่งตน เข้าไปเห็นจริยธรรมอันดีงามของความกตัญญูต่อบุพการี

เป็นเรื่องน่าอัปปรีย์ นี่..พวกโต่งและกระด้างเข้าไม่ถึงธรรมแห่งความเป็นจริง

คนมีปัญญาท่านรู้ว่า อะไรควรหรือไม่ควร ไม่ใช่ควรไม่ควรเพราะฟังเขาว่ามาและคิดเอาเอง..

ครั้งหนึ่ง ข้านึกถึงอาหารที่กินเข้าไปด้วยความอร่อย ข้าอยากดูอาหารที่แสนอร่อยนั้น

เมื่อมันมาอร่อยอยู่ในปากในลิ้นแล้ว มันแสนอร่อยที่ตรงไหน

เมื่อถึงเวลาขี้ ข้าก็เอามือไปลองขี้ขึ้นมาพิจารณา

ขี้น่ะมันเหม็น และข้าเป็นคนขี้รังเกียจของเหม็นของเน่า โดยเฉพาะขี้

ขี้อยู่ในมือตรงหน้า แม้ข้าจะผ่านการพิจารณา โดยการเอาขี้ราดหัวมาแล้วก็ตาม

แต่ขี้ก็คือขี้ สัญญามันมีของมันอยู่

ครั้งนั้นข้าชนะใจตนเอง ฝ่าฟันความรังเกียจที่เกิดขึ้นกับใจตนเองได้ ด้วยการเทขี้

แต่ครั้งนี้ ข้าเอาขึ้นมาเพื่อพิจารณา ถึงอาหารที่แสนอร่อย แสนเพลินใจที่กินๆ เข้าไป

ตรงไหน ที่มันแสนหอม หวานหอมแห่งอาหารที่กรุ่นจมูก มันหายไปไหน

ขี้ในฝ่ามือที่แสนเหม็น มันเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ มันช่างน่ารังเกียจใช่ไหม

มันย้อนเห็นตัวตน แห่งคนที่น่าใคร่ น่าถนอม มีกลิ่นกายอันหอมรัญจวลใจ

แท้จริง ผิวที่น่าลูบไล้ทั้งหลาย มันห่อขี้ที่แสนเหม็นเช่นนี้ อยู่ภายในทั้งสิ้น

มันเห็นชัด เพราะขี้มันยืนยันความเน่าเหม็น ที่เกิดจากอาหารอันแสนอร่อยอยู่ตรงหน้า

เมื่อขยำๆๆ ความกระจายแห่งกลิ่นก็ยิ่งฟุ้ง

และความจริงที่มันเห็นและเข้าถึงความเป็นจริง

มันย่อมเบื่อหน่ายกายที่น่ารื่นรมณ์

ความกำหนัดยินดีในรูปทรงที่แสนสวยอันห่อขี้ มันก็เบาบางเจือจางลง

จิตมันคลายจากความหลง เป็นแค่สัญญาและรู้ว่า สาวสวยแค่ไหนยังไง มันก็แค่ก้อนเนื้อที่ห่อขี้

ความปรารถนาและยินดีในรูปทั้งหลาย มันก็ผ่อนคลายลงเป็นธรรมดา

นี่..ข้านี่กราบก้อนขี้ได้ ขี้ได้เป็นอาจารย์ที่ดี สอนชี้ให้ใจดวงนี้ คลายความอยากจากตัณหาที่เกิดจากรูป ได้ทั้งปวง

นี่..ขี้มีคุณ กราบได้สนิทใจ

ขี้ยังกราบได้ ทำไมแม่ผู้ให้ชีวิต จนมีปัญญา จะกราบแทบตีนมารดา มันจึงกราบไม่ได้

กราบผู้มีคุณ มันจะต่ำกว่ากราบขี้ตรงไหนหือไอ้น้อง…!!!

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง บวชแล้ว …. กราบแม่ได้ไหม..??? ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง