ระลึกชาติได้ด้วยอำนาจของ อุเบกขาญาน

ระลึกชาติได้ด้วยอำนาจของ อุเบกขาญาน

792
0
แบ่งปัน

สองวันมานี่ ได้คุยถึงเรื่องอุเบกขาญาน อุเบกขาญานนี่ บางตำราท่านว่าเป็นฌานห้าอะไรไปนู่น

ที่จริงมันก็เป็นอารมณ์เดียวที่เป็นเอกัตคตารมณ์ ที่มีสติลอยเด่นอยู่นี่แหละ

ญานนี้นักปฏิบัติเข้าไปถึงน้อย ผู้ที่เข้าได้นี่ มักเป็นผู้เจริญรอยตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา

ศาสนาอื่น ลัทธิอื่น แม้แต่พุทธศาสนาเอง อย่างมหายาน ส่วนใหญ่จะออกไปแนวอรูปฌานซะมากกว่า

รูปฌานนี่ อาศัยสติประครองรูป อาศัยการเพ่งรูปด้วยสติ และมีสัมปชัญญะสำเหนียกแห่งรูปที่เพ่ง

การเพ่งนี่ เรียกว่า กสิณ การเพ่งลมหายใจจรดจ่ออู่กับลมหายใจนี่เป็น กสิณ

เมื่อจิตมันหดตัวจนสติลอยเด่น วางตัวเป็นอุเบกขา ความอัศจรรย์ใจของเจ้าของจะบังเกิดขึ้น

จิตคนเรานี่ มันมีความน่าอัศจรรย์ใจ มันไร้ความหมายแห่งนิยามสมมุติ ที่จะให้ความหมายให้ตรงกับความอัศจรรย์ใจนั้นเลยทีเดียว

ผู้ที่เข้าถึงอุเบกขาญาน สามารถเอากำลังแห่งฌาน มาพิจารณา วิปัสนาจนเข้าถึงธรรมตามกำลังแห่งปัญญาได้ง่าย

ความเฉียบคมและตั้งมั่นมีสูง เข้าถึงความเป็น สุขวิปัสโกแห่งความรู้แจ้งอันเกิดจากญาน สามารถแทงธรรมได้ตลอดสายตามกำลังที่มี

ที่สูงกว่านั้น ผู้ที่เข้าถึงอุเบกขาญาน หากมีภูมิวิสัยแห่งเตวิชโช หรือวิชาสาม อันเป็นภูมิวิสัยของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงตรัสรู้

ก็สามารถนำภูมิอันเกิดจากวิสัย ระลึกชาติแต่หนหลังได้ เท่าที่กำลังและบารมีที่เข้าถึงจะพึงมี

นำการระลึกที่เรียกว่า บุพเพนิวาสาญาน มาพิจารณาวิปัสนาญาน ก็จะเห็นชัดถึงหลักแห่ง อริยสัจ รู้แจ้งแทงตลอดสาย ด้วยวิสัยภูมิแห่ง วิชาสามหรือ เตวิชโช

นี่..เป็นผลที่ต่อเนื่องตามกฏ อิธทัปปัจจยตาอันอาศัย อุเบกขาญานเป็นเครื่องเกิด เป็นเครื่องกำเนิด

การระลึกชาติแต่หนหลัง อาศัยอุเบกขาญานเป็นกำลัง ส่วนพวกที่ระลึกชาติแต่หนหลัง ด้วยปิติญานอันเป็นฌานที่ก้าวพ้นจาก วิตกวิจารณ์

การระลึกด้วยฌานระดับนี้ มันมีการปรุงแต่งแห่งภวังค์ตัวตนเข้าไปปรุงแต่งสูง ชาติหลังๆมักเป็นการปรุงแต่งแห่งภวังค์จิต

มันอาศัยความทรงจำในสมมุติสัญญาในอัตภาพ ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ ที่เป็นสัญญาบันทึก เข้าไปปรุงแต่ง

แต่ผู้ที่เข้าถึง อุเบกขาญาน การเข้าถึงได้นี่ เป็นผู้ที่สะสมกำลังแห่งฌานมาเป็นเวลาหลายล้านชาติ

การย้อมสมาธิในอัตภาพที่มีเหตุปัจจัยวาสนาอำนวย ทำให้เกิดภาวะที่มีการหดตัวแห่งความละเอียดจิตเข้าไปถึง

เมื่อภาวะจิตถอนจากอุเบกขาญาน กลับมาสู่ภาวะตื่นจากภวังฌาน ที่เรียกกันว่า อุปจารสมาธิ หมายความว่า มีความรู้ตัวทั่วพร้อม

เจ้าของก็ใส่โปรแกรมลงไปในความหนาแน่นแห่งสมาธินั้นว่า ” หนหลังแต่กายนี้ เราเคยเกิดเป็นอะไรบ้างหนอ ”

ตัวโปรแกรมที่ใส่นี้เป็นวิตก การประคองวิตก เรียกว่าวิจารณ์ ผ่านวิจารณ์ก็เป็นภวังค์จิตเรียก ปิติ

ผ่านปิติ ก็นเป็นอาการว่างเรียกว่า สุข ผ่านสุข ก็เป็นเอกัตคตารมณ์มีสติลอยเด่นอยู่ เรียกว่า อุเบกขา

นี่..จิตจะมาสว่างไสวอยู่ตรงนี้ เป็นสติลอยเด่นอยู่

เมื่อจิตถอนและคลายการหดตัวลง จนมาอยู่ในวิถีจิตเชื่อมต่อกับภวังค์จิต คือมีความรู้ตัวทั่วพร้อมแห่งการบันทึกของอายตนะแห่งเรือนกาย

ที่เรียกกันว่า อุปจาระสมาธิ ภวังค์จิตที่ได้บันทึกและสร้างสมมา สติจะทำการระลึกสอดส่องลงไป

การรู้เห็นโดยประมาณจะกระจ่างใสขึ้นตามกำลังภูมิ มันจะระลึกรู้ได้โดยรวมๆ แต่เมื่อเจ้าของสอดส่องในเรื่องรวมๆที่รู้

ความคมชัดแห่งสติ จะสาดเข้าไประลึกเฉพาะเหตุที่ต้องการจะสอดส่งได้

ระลึกได้หนึ่งชาติมั่ง เจ็ดชาติมั่ง ร้อยชาติมั่ง พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ จนนับล้านๆชาติ และอนันตชาติ ในวิสัยภูมิขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การระลึก ไม่ใช่จะเรียงตัวกันเป็นชาติๆ มันระลึกข้ามชาติได้ลึกๆเป็นล้านๆชาติก็ได้ อยู่ที่กำลังอานิสงส์แห่งการสะสมภูมิ

อย่างเช่นระลึกได้ว่าเคยเกิดเป็นไก่ มันจะระลึกได้เลยว่า มันเกิดเป็นไก่เกิดซ้ำเกิดซากอยู่เช่นนั้น เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง มากมายก่ายกอง

จากไก่ก็ไปเป็นเหี้ยที่กินไก่ มันก็จะเห็นการเกิดเป็นเหี้ยซ้ำๆนานเป็นหมื่นๆชาติ กว่าจะหลุดจากเหี้ย ไปสู่รูปอื่นที่มีเหตุปัจจัยส่ง

นี่..การเกิดเป็นสัตว์ มันเป็นอบายภูมิ เป็นการชดใช้วิบากที่ตอนเกิดเป็นมนุษย์ได้กระทำย่ำยีข่มขืนจิตดวงนี้ ให้ต้องมารับวิบาก

มันเปลี่ยนรูปไปเรื่อยตามกุศบวิบากและเหตุปัจจัยในภพภูมิ ที่จะต้องไปเกิดกำเนิดใหม่ในรูปของสัตว์อื่น

แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไร ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นภูมิแห่งอบายทั้งนั้น

ในภูมินี้ ที่แย่กว่าความเป็นสัตว์ก็คือ อสูรกาย นี่ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง ที่ต้องร่อนเร่เกิดดับอยู่ใน อบายภูมิ อสูรกายก็มีพันธุและรูปทรงต่างๆอีก

อยู่ด้วยความกลัวและหวาดระแวง เป็นภูมิที่มีทุกข์มากกว่าความเป็นสัตว์สัตว์เยอะ

การเกิดดับในวิสัยภูมินี้ก็นานมากกว่าการเกิดเป็นชาติหรือเผ่าพันธุ์แห่งความเป็นสัตว์

ที่ลึกลงไปยิ่งกว่าอสูรกาย ก็เป็นสัตว์อีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกกันว่า เปรต

เปรตนี่ มีมากมายหลากหลายและหนาแน่น มีทั้งละเอียดและหยาบ อายุก็ยืนยาวหลีกเร้นพ้นไปจากความเป็นเปรตนี่ยาก

ทุกข์ทรมานจากความพิกลพิการของรูป ครองรูปอยู่ในร่างสัตว์ที่เรียกว่าเปรตนานแสนนาน กว่ารูปจะสลาย

สลายแล้ว ก็มาเกิดกำเนิดเป็นเปรตอีก รูปร่างก็เปลี่ยนไปตามเหตุแห่งวิบากจิต แต่ก็ยังพอได้พัก ได้รับบุญ ได้กินอาหารกันได้บ้าง แต่เปรตบางประเภท รับบุญรับกุศลนี่ ไม่ได้เลย

โรคภัยแห่งวิบากกรรม มันแผดเผา มันรุมเร้า กัดกินจิกตี เร้าร้อนแทบตลอดเวลา กุศลอะไรจากใคร ก็รับไม่ได้

ที่ลึกยิ่งกว่านั้นที่ระลึกสอดส่องลงไป ก็ระลึกนึกถึงการเกิดเป็นหมู่สัตว์ในนรกภูมิ

โอยย..ตรงนี้นี่ เป็นการเกิดเป็นสัตว์นรกที่ยาวนาน โดนวิบากกรรมที่ได้สร้างได้กระทำ มันมาทรมาน ทุบแทงเฆี่ยนตี และอยู่ในความเร้าร้อนแผดเผาของภูมิอากาศรอบข้าง

ไม่ต้องพักไม่ต้องผ่อนกันเลย ตลอดการเกิดมาเป็นสัตว์ในขุมนรก

เกิดดับในแต่ละขุมก็นาน ไม่รู้จะกี่ล้านต่อกี่ล้านปี หมดวิบากจากขุมนี้ ก็ต้องไปต่อในขุมนู่นอีก โอววว..น่าสลดหดหู่

นาน.น.น ต้องเกิดอยู่นาน กว่าจะหลุดมาเป็นเปรต ที่พอได้พักบ้าง

จากเปรตก็มาเป็นอสูรกายอีกนาน แต่ก็อจะได้กิน ได้แอบพักหลับนอนบ้าง แล้วจึงมาเกิดกำเนิดเป็นเหล่าสัตว์

และจมอยู่กับการเกิดกำเนิดแห่งสัตว์อีก นานแสนนาน กว่าจะหลุดมาเกิดกำเนิดเป็นมนุษย์

การได้เกิดเป็นมนุษย์ เอาผ้าปิดตา จับตัวหมุนๆๆๆ แล้วโยนห่วงในมือให้ลงไปคล้องคอหมาซักตัว ที่วิ่งอยู่รอบๆ ดูจะง่ายกว่า

เกิดมาแล้ว ยังเสือกทำกรรมทำระยำอีก อย่างต่ำก็ต้องตกไปเป็นสัตว์ กว่าจะหลุดมาก็นาน

ยิ่งหล่นลึกลงไปถึงนรกภูมิด้วยละก็ เลิกกัน ไม่ต้องพูดเลย มันจมกันนานแสนนานกันเลยทีเดียว

นี่จะโมงเช้าแล้ว วันหน้า ข้าจะขยายธรรมต่อไปให้เห็นว่า เพราะเหตุอันใด ผู้ที่เข้ามาร้อยเรียงและสอดส่งลงไปในบุพเพนิวาสาญาน จึงได้รู้ชัดแห่ง อริยสัจ

อริยสัจ อาศัยบุพเพนิวาสาญานเกิด ไม่ได้บุพเพนิวาสาญาน การรู้แจ้งแทงใจแห่ง อริยสัจ เกิดไม่ได้

ที่เกิดได้ อธิบายไม่ได้ เพราะเป็นความเข้าใจ อริยสัจอย่างเปลือก

รู้จัก อริยสัจแบบรู้จักมังคุด รู้ว่านี่เป็นมังคุดเพราะเขาชี้มา แต่ตนเองไม่เคยแดกมังคุด

บอกใครๆไม่ได้ ว่ารสชาติเนื้อในมันเป็นยังไง หวานกรอบแข็งกระด้างนุ่มลิ้นยังไง

มันบอกไม่ได้ ที่บอกไม่ได้ เป็นเพราะไปจำเขามาแล้วเสือกแหกปากตะโกนว่า กูรู้ๆๆๆ

วันหน้าค่อยมาว่ากัน