ขอห้าม….กับความเข้าใจ 

ขอห้าม….กับความเข้าใจ 

777
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ...กระเทย หรือบัณเดาะฑ์…ที่ผมเคยทราบมาว่าเป็นคนที่มีสองเพศ (มีทั้งจิ๋ม และจู๋) ในคนเดียวกัน…ไม่ใช่กลุ่มที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง….จึงทำให้เขาสามารถบวชได้ครับ….ไม่ทราบอันไหนเป็นข้อเท็จจริงครับ…สาธุๆๆ

ขอห้าม....กับความเข้าใจ << พระอาจารย์ : บัณเดาะฑ์ ตามที่ Meena Mana เข้าใจและถามมานั้น ท่านห้ามเลย เหมือนพวก อ้วนมากไป ดำมากไป ผอมมากไป หรือพวกพิการ ท่านห้ามไม่ให้บวช

เพราะพวกนี้เมื่อบวชเข้ามา จะเข้าถึงธรรมยาก เหตุเพราะ มีปมด้อยในใจตนจึงมีความทะยานอยากสูง ที่จะทำความดี เพื่อข่มผู้อื่น ว่าตนเองดี รักษาอารมณ์จิตยาก

ส่วนพวกสองเพศ มีทั้งจู๋และจิ๋ม หากอยู่กับอีกเพศหนึ่ง ก็จะโน้มไปตรงข้ามกับเพศที่ใกล้ชิด เมื่อถึงทิฏฐิ เป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ของตนเองและผู้อื่น ท่านจึงห้ามบวช ถือเป็นพวกพิการทางกายและจิต ตามวิบาก

ส่วนพวกตุ๊ดแต๋ว ที่แสดงออกมาทางกายและจิต จนใครๆ ก็รู้ก็ทราบ ท่านก็ห้ามบวช เพราะพวกนี้ยับยั้งชั่งใจได้ยาก เมื่อถึงทิฏฐิ

แต่หากเป็นผู้ข่มใจได้ ทรวดทรงกริยาตรงไปตามเพศ ท่านก็อนุญาติ หากไม่แสดงออกมา จนใครๆ เขาก็รู้ว่า ไอ้นี่มันเป็นตุ๊ด ที่ท่านไม่ให้บวช เพราะเหตุแห่งการเกิดปัญหาในพุทธบริษัท อันเป็นสัจจธรรมที่ประกาศไว้ดีแล้ว เป็นเรื่องใหญ่

แม้แต่ผู้หญิงท่านก็ไม่ให้บวช หากพระอานนท์ไม่ขอไว้ ภิกษุณีก็จะไม่มี ท่านเล็งเห็นความพ้นทุกข์ของผู้มีใจและตั้งมั่นของผู้ออกบวช เป็นที่ตั้ง และเหตุปัจจัยในการอยู่ปฏิบัติ ที่ง่ายต่อความเป็นอยู่ คือความเป็นชายที่สมบูรณ์

สมัยก่อน การบวชจะเห็นว่า ตำราเขาเขียนไว้ว่า นักบวชชาวพุทธ สงบสงัด ดูเรียบร้อย และเสพความสงบ

คงไม่มีพวกตุ้งติ้ง แสดงออกจนใครเขามองและรังเกียจ จนทำความเสื่อมเสีย เหมือนยุคนี้

การมีใจเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ ไม่ควรเข้ามาบวช เราสามารถปฏิบัติธรรมอย่างเพศฆราวาสได้ หากกำลังบุญและปัญญามีพอ มันก็ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องบวชโกนหัวห่มฝาด ให้พุทธบริษัทต้องพลอยเศร้าหมอง

>> ลูกศิษย์ : สาธุคับได้ยินว่า ญัตติจตุถกรรม  การบวชด้วยสงฆ์เป็นใหญ่มีอุปัชฌาย์ 1 พระเถระ 2 รูป ไตร่ถามสอบสวน ในท่ามกลางสงฆ์ ดังคำว่า ‘ปุริโสสิ’ เป็นชายรึไม่? ถ้า{ไม่/จบ}ใช่,ต้องเปลี่ยนแปลง,ยอมรับ,ดังคำว่า ‘ปฏิรูปัง’ {ที่สำคัญ!เสียงค้านในคณะสงฆ์} สุคติภพ! ไม่ใช่ที่อยู่ของบุรุษเพศฝ่ายเดียว

<< พระอาจารย์ : เจริญศิริ มะลิซ้อน

ตามที่ท่านได้ยินได้จำมา ถูกตามนั้นครับ มันเป็นระเบียบแบบแผน ที่ของพิธีกรรมเขาว่ากันมา

แต่การยอมรับและคำพูด มันมีเหตุปัจจัยประกอบกันมากมาย

เพราะทุกคนต่างก็รักษาข้อธรรมวินัยได้ไม่เท่ากัน หากว่ากันตรงๆ ตามแบบแผนและตำรา กระเทยย่อมไม่เกิดในวงการสงฆ์

แต่นี่แบบแผนทั้งหลาย มันกลายเป็นแค่สากเบือ เป่าลงไปเท่าไหร่ มันก็เงียบเท่านั้น คนมันไม่ได้ว่ากันตามแบบแผน

คำว่า สุคติภพ ทุกคนมีสิทธิ์กันอยู่แล้ว แม้ไม่ต้องบวชก็สู่สุคติได้ มันคนละเรื่องกับการต้องโกนหัวบวช แม้ไม่บวช จิตก็เข้าสู่ สุคติภพได้

>> ลูกศิษย์ : สิบปีที่แล้วลูกชายผมบวช วัดแถวอ่อนนุช ทางวัดเขาแจกระเบียบการ จนข้อสุดท้ายเขาว่า ซองใส่ถวายอุปัชฌาย์ไม่น้อยกว่า สองพัน พระคู่สวด ต้องไม่น้อยกว่าหนึงพัน ปัจจุบันนี้วัดนี้มี คลื่นวิทยุชุมชนละ เรี่ยไรบุญสนุกไปเลย หึหึ… รังเกียจ…

<< พระอาจารย์ : เดี๋ยวนี้ มันเป็นเรื่องการหากินบนศาสนพิธีไปแล้ว การบวชต้องใช้เงินสูง นิมนต์มาสวดก็ต้องจ่ายแค่นั้นแค่นี้

บวชมาแล้วทำตัวเป็นเทวดา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมากมาย ใครจะมาว่ากล่าวด่าแม่ก็ไม่ได้ มันเอานรกมาขู่ ห้ามกล่าวให้ร้ายสงฆ์ ทั้งๆ ที่บางราย เหี้ยแสนเหี้ย

เอาศาสนพิธีเลี้ยงชีพ บางรูป อาศัยเรียนจบเพื่อออกไปเป็นผัวชาวบ้าน นี่..มันระยำแท้

จบมหาเปรียญ แต่ออกไปเป็นบาทหลวงรับจ้างตีความเข้าข้างคริสนี่ก็มี

วงการสีฝาดนี่ มีเห็บพุทธเกาะกันเต็มสลอน พวกเราเป็นชาวพุทธ ก็ต้องช่วยกันดูแลรักษา ใช่จะให้พวกเหี้ยๆ  ถากหัว มาทำตัวเฝ้ารักษา แต่เพียงฝ่ายเดียว

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง นักบวชสองเพศ… ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

…………….. ………………..

ข้อศีลที่ร้ายแรงตามความเข้าใจ

………<< พระอาจารย์ : ส่วนใหญ่จะมองว่า ศีลข้อสาม ความเป็นชู้ร้ายแรงที่สุด

ความร้ายแรงนี้ มีผลทำให้ครอบครับแตกแยกร้าวฉาน ผิดศีลข้อนี้ แม้จะใหญ่หลวงต่อผู้โดนกระท

แต่เป็นผลระดับครอบครัว ร้ายแรงระดับครอบครัว

แต่การโกหก มันเป็นผลครอบจักรวาล ร้ายแรงคลุมและครอบไปทั้งจักรวาล

หากทั้งจักรวาล มีมนุษย์ที่มันโกหกซึ่งกันและกัน การทำลายล้าง มันเกิดสงครามสูญสิ้นเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว

ที่โลกสลายตามคำภีร์ เกิดจากการยุยงและปลุกปั่นของพวกขี้ข้าในแต่ละฝ่าย

มันทะเลาะกัน ทำสงครามกันก็ด้วยความหลงแห่งการเข้าใจผิด ที่มาจากการโกหกของแต่ละฝ่า

มนุษย์นี้ หากอยู่คนเดียว มันก็ยังโกหกตัวเอง อย่างข้านี้ เวลาเผชิญความกลัวอย่างรุนแรง ข้ามักจะหลอกตัวเองว่า ข้าไม่กลัวๆๆๆๆๆ

แต่ใจนี้สั่น ขาอ่อน รั้งไม่ได้เลย หิวก็บอกตัวเองว่าไม่หิว เจ็บก็บอกตัวเองว่าไม่เจ็บ ป่วย ก็บอกตัวเองว่าไม่ป่วย

นี่…มันต้องโกหกตัวเองเข้าไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ใจไหลไปตามผัสสะที่มันเป็นกระแสธารใหญ่ ที่กำลังเชี่ยวกราดในบางขณะ

>> ลูกศิษย์ : ข้อสุรานั่นแหละครับทำให้ขาดสติ เมื่อขาดสติมันก็ทำผิดได้ทุกข้อ สาธุ (ความคิดเห็นส่วนตัว)

<< พระอาจารย์ : การขาดสติย่อมมีผู้อื่นเห็นว่า ขาดสติ ความเชื่อถือ และทำลายมันอยู่ในวงแคบ นาวิน

ธรรมนั้นจะคิดเอาแค่เป็นผลเล็กๆ มันก็ได้เล็ก

หากพิจารณาให้ละเอียด มันก็จะเห็นผลใหญ่

การขาดสติจากสุรา มันไม่ได้ไปทำลายใครทั้งโลกทั้งประเทศ ทั้งจังหวัด หรือ ทั้งอำเภอ ตำบล

เพราะเป็นแค่คนเมาที่ขาดสติ มันเป็นข้อศีลด้านจริยธรรม คือทำลายใจตนให้ขาดสติ

คนตาปรือๆ แม้โกหก คนทั่วไปก็แค่ขำๆ คนมันไม่เชื่อ

แต่การโกหก มันมองไม่ออก ว่าใครมันโกหก เจอตัวใหญ่ๆ  โกหกเข้าให้ ซวยกันไปทุกหย่อมหญ้า

คนโกหกนี่ มันโกหกเพื่อฆ่าเพื่อเบียดเบียนก็ได้

โกหก เพื่อขโมยก็ได้

โกหก เพื่อเป็นชู้ก็ได้

มันเป็นข้อศีลที่ทำลายด้วยสติ สัมปชัญญะ มีเจตนาเป็นที่ตั้ง เกิดจากความ โลภ โกรธ หลง เป็นเหตุ

ข้อสุรา มันแค่ทำลายสติเจ้าของ เจ้าของก็รับผลไป

แต่การโกหก มันทำลายเจ้าของ และลามขยายออกไป เป็นไฟเผาผลาญทั้งโลก หากคนโกหก มีกำลังบารมีเป็นผู้นำ

แต่ผู้นำที่เมาสุรา คนมันไม่เชื่อถือผู้นำนั้นๆ อยู่แล้ว

ศีลข้อนี้ พระพุทธองค์เป็นผู้วินิฉัยให้พราหมณ์ผู้หนึ่งฟัง ข้าแค่นำมาขยายออกไปให้เห็นง่ายๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดและวินิจฉัยออกมาเอง ด้วยการคิดเอา

เรื่องธรรมนี้ ไม่กล้าคิด คิดเองเมื่อไหร่ โง่เมื่อนั้น ว่ากันไปตามเหตุและปัจจัย

เรียกว่า ไม่ปรารภโลก และปรารภตนเอง แต่ขอปรารภธรรม ว่ามันเป็นของมันเป็นธรรมดาของมันเช่นนี้

และผลแห่งธรรมก็แสดงตัวโดดเด่นของมันอยู่ ไม่ได้เป็นเจ้าของธรรม

แต่เป็นธรรมดาเมื่อว่ากันขึ้นมาแล้ว ใครๆ   ก็สามารถเข้าใจ และเห็นช่องทางที่เคยปกปิดได้ชัด

อยู่ที่เจ้าของว่า จะแหกตาขึ้นมามองเห็นมันมั่งรึเปล่า..

เช้านี้ ไม่ว่างซะแล้ว ขอให้โชคดีทุกๆ  ท่าน

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ข้อที่ร้ายแรงแห่งศีล.. พึงระวัง ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง