จำมารู้ แล้วเพ่งโทษผู้อื่น

จำมารู้ แล้วเพ่งโทษผู้อื่น

1063
0
แบ่งปัน

กรรม กำหนด : มิจฉาวาจา ทำบ่อยเป็นไปเพื่อนรกเดรัจฉาน พระพุทธเจ้า บอกไว้ไม่ผิดแน่ๆ หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ เท็จ

พระอาจารย์ : มิจฉาวาจานี่ ท่านหมายถึง การแสดงออกมาทาง อกุศลจิตของพวกคนโง่ๆ ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างท่านเป็นต้น

ที่บอกว่าท่านโง่ ก็เพราะทัศนะของท่านมันแคบและตีบตันเหลือทน ในการแปลความหมาย

พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านบอกไว้ไม่ผิดหรอก แต่พวกโง่ๆน่ะมันแปลความหมายผิด

ไอ้หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ เท็จ อะไรนี่ มันเป็นพวกอรรถาจารย์ท่านให้ความหมาย

พวกบ้าพุทธวจนะ มันปฏิเสธพวกอรรถจารย์ เอาความเห็นตนเข้าไปประกาศธรรม

แต่มันเสือกเอาคำแปลแห่งอรรถาจารย์ มาเป็นคำพระพุทธเจ้าพูด

ข้าจะช่วยขยายให้ฟังนะไอ้เพื่อน วาจานี่ มันหมายถึงการสื่อความหมาย ไม่ใช่เอาคำแปลอย่างไทยๆ มาตีความอย่างเด็กน้อยเข้าใจ

โจรมันไม่ต้องพูดหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ เท็จ อะไรก็ได้ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่มันต้องการ

คนใบ้พูดไม่ได้ ก็คงเป็นพวกสัมมาทิฏฐิทางวาจากันหมดในชาตินี้

นี่เป็นธรรมที่ไม่ตรง เป็นธรรมที่โต้แย้งได้ เป็นธรรมทั่วๆไปที่ปุถุชนทั้งหลาย แต่งขึ้นมาได้

ธรรมนั้นมันเป็นสัจธรรม มันแย้งไม่ได้ เพราะมันเป็นความจริง ถึงจะเรียกว่าธรรม

คำว่าวาจานี่ มันหมายถึง การสื่อสารออกมา สื่อความหมายออกมา

ส่วนคำพูดที่พวกแก่ตำรากล่าวมา เขาเรียกว่า วจี รู้จักคำว่า วจีไหม

วาจาที่สื่อออกมา เป็น มิจฉาวาจานี่ คือการสื่อออกมาด้วย ใจที่เป็น อกุศล

อย่างเช่น พวกเพ่งโทษคนอื่น ที่ไม่ถูกใจตน นี่ก็พวก มิจฉาวาจา อย่างเช่นตัวท่านเป็นต้น

คนเราแม้ไม่ต้องพูดอะไรเลย แค่ส่งยิ้ม หรือให้กำลังใจด้วยสายตา เช่นนี้เรียกว่า สัมมาวาจา

คือการแสดงออกมาจาก กาย ใจ ที่เป็น กุศล

ไม่ต้องพูดก็เป็นกุศล สงบนิ่ง ยินดี เป็นมุทิตาจิต ให้ความเมตตา กรุณา และอุเบกขา นี่ก็เป็นการสื่อออกมา ทางพรหมวิหารสี่ ที่เป็น สัมมาวาจา

การตักบาตร การไหว้ด้วยใจที่นอบน้อม การหยิบยื่นสิ่งดีๆให้ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นี่เรียกว่า สัมมาวาจา

นี่ท่านมันยึดตำรา แต่ไม่เข้าใจความหมายแห่งตำรา เที่ยวเสือก เที่ยวเพ่งโทษคนอื่นไปทั่ว

เอาความเห็นตนด้วยสมองเด็กน้อย ตีบแคบในเชิงธรรม เพ้อเจ้อ แสดงอวดตัวไปอย่างเลื่อนลอย

ธรรมซักตัวก็ยังหาไม่มี ความหมายแห่งธรรมคำบาลีก็ไม่เข้าใจ เอาความหมายเข้าใจแบบไทยๆ ไปเทียบกับคำแห่งบาลี

มีดีแค่อัปปรีย์ในทางเพ่งโทษคนเป็นสรณะ นี่น่ะรึ ผู้เจนธรรม..เดี๋ยวก็ด่าซะเลย ไอ้ห่า..!!

พระธรรมเทศนาจากคอมเม้นท์ เรื่อง ” บรรลุธรรม ” ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

กรรม กำหนด : พระวินัย ห้ามเลี้ยงดูสัตว์ไหมนะ ปล่อยมันไปตามกรรม

พระอาจารย์ : เลี้ยงเพื่อเห็นแก่ชีวิตสัตว์ เลี้ยงเพื่อสร้างธรรมชาติให้แก้ผืนป่า

กับเลี้ยงเพื่อ เป็นอาชีพ หาตังค์แดกนี่ มันแตกต่างกัน แยกกันให้ออก

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนรึไง ก่อนจะไปเที่ยวเพ่งโทษชาวบ้าน นั่นไม่ดี นี่ผิดนั่นถูก

ที่หน้าเฟสนี้ น้องๆที่อ่าน พุทธวจนะมีเยอะแยะ

ไม่เห็นว่าจะมีน้องๆคนไหน มันจะเที่ยวไประรานหน้าเฟสคนอื่น ด้วยอักษรที่ลอกเขามาฟาดฟันใคร ไหนชอบโชว์ธรรมกรรมบทสิบไง การเสียดสีนี่ มันเป็นคนทุศีล แต่ตนเองนี่ ชอบเสียดสี

เก่งจำเก่งอ่านก็เชิญเก่งไป คอยแต่จะทิ่มแทงใครๆ ด้วยทิฏฐิตนนี่ มันใจเลว

ข้าเองนี่ ไม่เป็นศัตรูกับใคร คบได้ทั้งนั้น ขอให้มีเหตุมีผลมาคุยกัน

ไม่ใช่ตอดนั่นที ทิ่มนี่ที เป็นอีแอบกระหรี่ตามโคนไม้ไปได้

คุยกันให้มันรู้เหตุรู้ผล ด้วยใจที่มันเป็นมิตรซิ ธรรมมันจะได้จรรโลงใจ ถามด้วยภาษาคนด้วยใจที่มันสงสัยซิ จะได้คุยจะได้อธิบายกัน

ไอ้ห่านี่ แต่ละคนใช้ความรู้สึกตนเองที่คิดเอา ไปเสือก ไประราน ทำอวดเก่งในภูมิจำ กับใครเขาไปทั่ว เช่นนี้มันเป็นคนดีรึไง

ที่นี่ไม่เคยมีสัตว์ ไม่มีนก ไม่มีแม้แต่กระรอก

เป็นป่าเสื่อมโทรมที่พวกตัดไม้ ตัดแทบไม่เหลือ

เหล่าสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆก็โดนยิงจนเกลี้ยง

เมื่อนำสัตว์มาปล่อย ดูแล ให้อาหาร มันก็พออยู่ได้

นานวันเข้า สัตว์น้อยใหญ่ที่หนีการไล่ล่า ต่างก็หลบหนีเข้ามาได้อาศัย

มันอาศัยเพราะมีสัตว์มันอาศัยอยู่

ป่าก็เริ่มเป็นป่า สัตว์ป่าต่างก็มีที่อาศัย

ใครๆก็ไม่กล้าเข้ามาทำร้าย

คนและสัตว์ต่างก็อยู่ร่วมกันได้ โดยที่ให้ความเชื่อใจ ในเมตตา กรุณาต่อกัน

สัตว์มีชีวิตอยู่ได้ ป่ามีชีวิตอยู่ได้ ธรรมก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย

ข้าอยู่ป่า ข้าก็ย่อมปกป้องป่า

แค่ปกปักษ์รักษาไม่ให้ใครมาไล่ยิงในเขตที่รักษา

มันคงไม่เป็นห่าอะไรกับเรื่องพระธรรมวินัยอะไรกับใครหรอก

พระธรรมเทศนาจากคอมเม้นท์ เรื่อง ” ตัวสัจธรรม ไม่ใช่อยู่ที่ตำราหรือการชี้ ” ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง