ยึดตำราเป็นกำแพง

ยึดตำราเป็นกำแพง

376
0
แบ่งปัน

Kanit Wanakamol : ผมก็ว่า อ่านธรรมมา ไม่เคย มีคำแปลเพี้ยนๆ เหมือนของเจ้าสำนักนี่เลย ที่แปลมาเรื่องธัมมจักร เช็คบาลีมาหลายเล่ม มาเจอไอ้ห่า กะหรี่ ยังงี้ พุทธศาสนาไม่วิปริตได้ยังไง

พระอาจารย์ : เจ้าตาลุงคนนี้ คงยึดดีจัด วางอะไรไม่ได้ไม่เป็นเอาซะเลย

ต้องพูด นางกลางเมืองหรือไง จึงจะพอใจ

ที่นี่คุยกันฉันเพื่อน ไม่มีเจ้าสำนัก ไม่มีครู ไม่มีผู้เคร่งบ้าตำราอย่างท่านหรอก

ตาลุงไม่เคยมีเพื่อนรึไง

ถ้าดีจัดเป็นขุนนาง ก็ไปฟังพวกขุนนางมันพูดซิ ตรงนี้พวกลูกแม่ค้าเขาพูดกัน เขาคุยธรรมกัน

ธรรมน่ะคือ..ธรรมดา

นี่..มันยึดนั่นยึดนี่เพ่งโทษคน

ศึกษาธรรมมา เป็นครูสอนคน แต่เพ่งโทษคนที่ไม่รู้จักกัน

อบรมใจซะมั่งเถอะ คนอื่นเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน

ที่จะมานั่งตอแหลพูดดี แต่ชอบเสือกและเพ่งโทษคน

ตาลุงเพ่งโทษใจตาลุงที่ชอบเพ่งโทษคนอื่นดีกว่า

เผื่อจะได้มีใจที่มีที่ว่าง ยอมรับอะไรที่กิเลสมันไม่ชอบใจเอาไว้บ้าง

ที่นี่ไม่ใช่ตำรา ที่นี่มันเพื่อน พี่ น้อง มาพูดคุยกัน

และไม่ได้เชิญตาลุงขี้เพ่งโทษใคร มาเป็นเพื่อนให้มันวุ่นวาย

เนื้อแก่นธรรมไม่เอา แต่เสือกเอาแต่เปลือก

แหกเปลือกยังไม่ออก แล้วมันจะเจอเนื้อเยื่อได้ไง ตาลุงขุนนางเอ้ย

ยึดดีนี่ มันเป็นโทษ มันจะขี้รำคาญคนที่ตนเองคิดว่าไม่ดี

ใครผิดไปจากความดีตนที่ยึด มันก็เลวมันก็ผิดไปซะหมด

ความดีที่ไม่มีเหี้ยอะไรอยู่ในตัวนั่นนะ มันดี

แต่จะให้ดี พึงยอมรับด้วยว่า โลกนี้คนเหี้ยๆ น่ะมันมีเยอะ

เรายึดดี เราก็ยึดของเราไปซิ

หากจะให้คนอื่นมายึดดีตามเรา เพราะอัตตาความเห็นเรา

ชีวิตนี้คงอยู่อย่างไม่มีความสุข

แก่ก็แก่อย่างไม่มีความสุข

เพราะใจมันจะรำคาญแต่สิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ในอัตตาตัวตน ที่ตนยึดไม่วาง

และอยากให้คนอื่นต้องเป็นอย่างที่ตนเองเป็น

นี่..คือการแก่แบบกระโหลกกระลาหาค่าความดีงาม ที่ตนคิด ให้กับใครอื่นไม่ได้เลย

มองเห็นแต่คนอื่น แต่มองไม่เห็นความคิดและตัวตนเอง

แค่อักษรสมมุติยังใจยังทนไม่ได้

จะป่าวประกาศกู่ก้องว่าเป็นคนดี อย่างงี้จะไปอายหมามัน..!!

คนเราถ้ายึดดีซะแล้ว มันก็จะมองว่า คนทั้งโลกที่ผิดไปจากแนวมันยึด เป็นพวกเลวทั้งนั้น

ดีก็สมมุติอย่างหนึ่ง แค่เป็นอาการถูกใจเจ้าของเท่านั้นเอง

ไม่ดีก็สมมุติอย่างหนึ่ง แค่เป็นอาการไม่ถูกใจของเจ้าของ มันก็แค่นั้นเอง

ทั้งถูกใจไม่ถูกใจ ทั้งคิดว่า ดีหรือไม่ดี

มันเป็นอาการของคนหนาไปด้วยกิเลสทั้งคู่

เกิดจากผัสสะที่ไม่พอใจและพอใจในเวทนา

เกิดเป็นตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบของเจ้าของ

หากถูกใจ ก็ชอบไปซะหมด

หากไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบไปซะหมด

ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง

นี่แหละ เป็นกิเลสแห่งปุถุชน นักปฏิบัตไม่ควรข้องแวะข้างใดข้างหนึ่ง

ถูกใจก็เป็น กามสุขัลนิกานุโยค

ไม่ถูกใจก็เป็น อัตตกิลมถานุโยค

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นธรรมของชาวบ้าน เข้าใจไหมว่ามันเป็นธรรมของชาวบ้านทั่วๆไปน่ะ

ไม่ใช่ชาวบ้านต้องไปทรมานกาย แล้วเป็นอัตถฯ มันเป็นเรื่องใจที่ไหลมาทาง ทุกข์และสุข

สิ่งเหล่านี้เมื่อใจมันไหลเจ้าไป มันเป็นสมุทัย ผลก็คือทุกข์

นักบวชพึง ลด ละ เลิก ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบนี้ ด้วยสติพิจารณา

นี่เรียกว่า ทางเดินแห่งมรรค ผลก็คือนิโรธะ คือดับ สงบ และเย็นลงไม่เร่าร้อน

นี่..ขยายความหมายให้ฟังที่ใครๆ ก็สามารถตามรู้ได้

มันยังบอกว่านอกครูนอกตำรา

นี่…เขาเรียกว่ายึดดียึดตำราซะจนไม่เข้าใจว่า

ตำราน่ะมันก็เป็นภูมิของผู้แปลที่แปลๆ กันมาตามภูมิ

แต่ไม่เข้าใจนัยยะธรรมที่มันลึกลงไปในความหมายแห่งภาษาก็มีเยอะแยะ

พวกยึดตำรา แต่วินิจฉัยธรรมไม่เป็นนี่ เดี๋ยวนี้อย่าอวดโง่เลย

เด็กรุ่นใหม่มันอ่านออกเขียนได้ และรู้ธรรมอ่านธรรมมามากกว่าพวกแก่ๆ หนังเหี่ยวๆที่เข้าใจว่าตน รู้มาก ฉลาดมาก อยู่มานาน หัวหงอก แก่พรรษา

หากยังขืนเอาหัวข้อธรรมที่แปลจากตำรามาขู่มาตั้งท่า

ไอ้ห่า..เด็กยุคใหม่มันจะหัวเราะเยาะเอา ให้เสียผู้ใหญ่เปล่าๆ

คุณธรรมนี่ มันอยู่ที่ปัญญา

มันไม่ได้อยู่ที่หัวหงอกหรือแก่พรรษาราตรีนาน

วางลงซะมั่งก็ดี ไอ้ความดีที่ยึดไว้

หัดมองรอบข้างและฟังความคนอื่นบ้าง

ใจมันจะได้มีที่ว่างแห่งการยอมรับคนอื่น ที่คิดว่าเขาไม่ดีๆๆๆๆๆ

ให้เขาได้มีความดีในความเป็นตัวของเขาบ้าง

มีแต่ กูว่า กับ เออๆๆๆ กูก็ว่า เที่ยวเพ่งโทษชาวบ้าน

อย่างนี้มันก็ไม่ต่างจากไอ้ห่า ไอ้เหี้ย ที่เจ้าของไม่ชอบใจ

แต่ไม่เคยเห็นว่าใจเจ้าของมันก็เป็น

มันเป็นเพราะมันยึดดีไว้โดยไม่รู้ตัว

Kanit Wanakamol : โพสต์กันยังกับแม่ค้าในตลาดด่ากัน ดูถูกคน คิดว่า – โพสต์ว่า ตัวเองถูก คนอื่น ผิดหมด ผมถึงว่า เหมือนกับ “เอาไม้สั้นมารัน … ” คงไม่หยาบ .. สมมุติ ! น่าอนาถ ประเทศไทย คงจะไปไม่รอด

**ขอจบแค่นี้ ไม่ต้อง ตอบโต้กันอีก เสียเวลาทั้งสองฝ่าย ไร้ประโยชน์ !! ขอไปทางใครทางมัน ขอโทษที่เข้ามาแจมครับ ให้เป็นอย่าง “ทางหนูหนูวิ่ง ทางลิงลิงเดิน !!

พระอาจารย์ : อีตาลุงนี่ แกเอาแต่ตัวตนคิดตำหนิผู้อื่นอยู่เรื่อย

ถอดถอนอัตตาและตัวตนไม่ได้

ตนดี คนอื่นเลวหมด สงสัยพวกแม่ค้าในตลาดนี่ มันเลว

พอดีข้าก็เป็นลูกแม่ค้าในตลาดเหมือนกัน

จึงพูดจากับพวกลูกแม่ค้าด้วยกัน

แต่ตาลุงนี่ แกดันเข้ามาเสือกเอง

แกจึงไม่ชอบใจ แกอยากให้ธรรมใครๆ เหมือนอยากที่แกเป็น

นี่..เฒ่าชราที่เริ่มคลานเป็นเด็ก

Kanit Wanakamol : โพสต์มาบอกว่า เลิกเสวนา กันได้แล้ว แต่ยังมีโพสต์ตามมาอีก ลองถามตัวเองว่า อย่างนี้ ตัวเองเป็นอย่างไร
– สติแตก?
– บ้า ?
– เมายาบ้า?
ฯลฯ อย่าให้ผมบ้าตามเลย ถ้ายังรู้ภาษาคน ก็พอเถอะ ที่แนะนำมานั้น เอาไปสอน ตัวเองให้หายบ้าเถอะ

พระอาจารย์ : นี่มันหน้าเพจ ธรรมกะ เปิดมาก็เจอข้อความ และพูดคุยกันในกลุ่ม

ไม่ได้ไปยุ่งหน้าเพจตาลุงนี่ ตาลุงนี่เพี้ยนแล้ว อายเด็กมันเปล่าๆ

ธรรมชาติของคนมีอัตตาจัด มันจะอดไม่ได้ที่จะเข้ามาเสือกเรื่องของคนอื่น

ชอบมาแอบรู้แอบฟัง ว่าเขาพูดถึงตัวตนว่าเป็นอย่างไร

มันอดใจไม่ได้ อัตตายึดมันสูง ใจมันจึงรุ่มร้อน กลัวแต่เขาจะว่าตัวเอง

จะไม่เข้ามาอ่านก็ไม่ได้ ใจมันพ่ายแพ้ความอยาก

อ่านแล้วก็ไม่ถูกใจ มันว่ากู

ที่จริงมันเป็นแค่อากาศ แต่ตาลุงแกติดรสชาติอากาศ แกอดใจไม่ได้

นี่..แหละจอมอัตตา วางไม่ลง มันอึดอัดใจเหมือนแมวอยู่ใกล้ปลาย่าง

เปิดดมๆๆๆ อยู่นั่นแหละ เช้ามาก็ไม่เลิก

นี่..ละความบ้าแห่งตัวตนที่อีตามนุษย์ลุงแกมองตัวเองไม่เห็น

จริงๆ แล้วแกน่าสงสาร แต่คงไม่มีใครชี้แกได้หรอก

เพราะที่นี่ มีแต่พวกลูกแม่ค้า ไม่ใช่ลูกขุนนางที่แกนิยม

วาทะนี่มันเป็นอากาศ แต่ใจที่ยึดวาทะนี่ มันจะเปลี่ยนบรรยากาศให้อากาศมันเป็นพิษ

แกอดไม่ได้หรอก ที่จะมาคอยจ้องอ่าน นี่แหละๆๆๆ จอมตัวตนละรู้ไหม

มันหวงตัว ใครแตะไม่ได้ แตะเมื่อไหร่ กิเลสมันร้อน

จำเอาไว้ ต่อไปเราก็จะเป็นคนแก่ๆ อย่างลุงคนนี้

เราควรฟังเด็กๆ มันพูดบ้าง

ตรองในสิ่งที่มันใหม่ๆ บ้าง

อย่าเอาอัตตาตัวตนของเราไปตัดสินใคร

ไม่งั้น มันจะเป็นคนแก่ที่น่าเบื่อของลูกหลาน

เพราะเราจะเป็น มนุษย์ที่กูถูกไปซะหมด ผิดไปจากกู กูก็งอล

Kanit Wanakamol : ยังมีไอ้บ้าอีบ้ามาเป็นฝูง เปลือกหนาจริงๆ พอเถอะ ขอโทษจริงๆ ดันมาเหยียบกองขี้หมา เหม็นหึ่ง !!

หยาบไม่มียังไง บอกแล้ว โต้กับคนบ้าๆ ไม่มีสติ ก็ต้องใช้วิธีนี้ เท่านั้นเอง ! ไปที่ชอบๆ เถอะ อย่ามากวน กำลังขี่ สุขกว่าเยอะเลย จะกวดน้ำให้นะ !!

พระอาจารย์ : เห็นอัตตาไหม ว่า ลุงแกอดไม่ได้ วางไม่ได้ ที่จะแอบเข้ามาอ่าน

ถ้าลุงแกมองเห็นตัวตนที่มันแสดงอยู่ตรงนี้หน่อย

แกจะเห็นอัตตาแห่งตัวตนที่วางอะไรไม่ได้เลย

แต่นี่ ตาลุงแกเอาตัวตนเข้าไปแสดง

แกก็เลยมองไม่เห็นอัตตาตัวตนของตัวแกเองที่แสดงออกมา

หากได้ถอยออกมาดูหน่อย ก็จะพบตนเองว่า

เจ้าของนี้หน้ามืดตามัวเป็นเจ้าอัตตาจอมตัวตนที่วางอะไรไม่เป็นเลย

นี่..ละเด็กน้อยที่แปลงกายมาเป็นมนุษย์ลุง

Kanit Wanakamol : (จากคำสนทนากับรัตนตรัย) ผมวิจารณ์ไปตาม “ผล” ที่ท่านแสดงออก เพราะท่านตีความธรรมผิดๆ จากพลังจิตอภิญญาที่ได้มา ท่านมาตีความธัมมจักฯ สังโยชน์โสดาบันเพี้ยนไปหมด

ความรู้ที่ท่านได้มา มาจากพลังจิตสมาธิไม่ใช่พลังปัญญา ที่ผมตอบไปเพราะท่านตีความ กามสุขัลลิ.. และ อัตถกิม.. เข้าป่าไปเลย ผมจะเลิกยุ่งกับท่าน เสียเวลา

พระอาจารย์ : นี่เป็นเรื่องที่น่าขำมากๆ สำหรับชาวพุทธไทยบางคน

ไม่เข้าใจเรื่องกามฯ ไม่เข้าใจเรื่องอัตถฯ

ไม่เข้าใจอะไรคือคำว่า พระโสดาบัน

ประหนึ่ง.. คนที่กินมังคุดทั้งเปลือก แต่ไม่ยอมรับว่ามันฝาด

เพราะโบราณเขาสอนกันมาเช่นนี้

การกินมังคุดทั้งเปลือก ก็เลยดูเป็นของดี

เมื่อมีผู้ปอกเปลือกกินแต่เนื้อ และชี้ว่า นี่..เปลือก นี่..เนื้อ กลับถากถางว่าคนผู้นั้นโง่งี่เง่า

ผิดเพี้ยนไปจากโคตรเง่าศักราชที่เคยได้รู้ฃด้เห็นได้ฟังมา

นี่..คือปัญหาของพวกมนุษย์ลุง ที่ยึดอัตตา และตีความตามความคิดตนโดยไม่เว้นพื้นที่ ให้เหตุผลใหม่ๆ เข้าไปแทนอัตตาความคิดเน่าๆ บ้าง

ตรงนี้เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ และปัญญาเช่นนี้นี่แหละ ที่นักแปลเข้าไปไม่ถึงภูมิ

ธรรมทั้งหลายย่อมออกจากใจ ไม่ใช่ออกจากตำรา

ตำราก็เขียนขึ้นมา จากใจที่มันเข้าใจด้วยกันทั้งนั้น

ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจตาลุงคนนี้ แค่อ่านๆ ฟังๆ แกพร่ามของแกเรื่อยไป

แต่เห็นว่า แกคงพออธิบายได้ จึงได้ลงมาอธิบายพอเป็นทาง

รู้จักก็ไม่เคยรู้จักกัน แต่มาตำหนิสงฆ์เพราะความมีอัตตาตัวตนของตนเสียนี่

หากมีปัญหาหรือมันบิดผิดเพี้ยนไปตามความเป็นจริง ก็ควรตั้งประโยคถาม

นี่..ตำหนิลูกเดียว โดยไม่ถามเหตุถามผล นี่..มันเป็นพวกมนุษย์ลุงแล้ว

ที่ลงมาตอบก็เพื่อแก้ความให้คนอื่นฟังในธรรม

อ่านธรรมแค่คืบเดียว แต่ตีความตัดสินคน นี่..มันเป็นจอมตัวตนแห่งอัตตา

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ” เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 5 ” (ท่อนที่ 1) ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง