กูว่า กับ เออๆกูก็ว่า เชื้อร้ายแห่งตัวตน

กูว่า กับ เออๆกูก็ว่า เชื้อร้ายแห่งตัวตน

1159
0
แบ่งปัน

นี่สามทุ่มกว่าแล้ว มันดึกแบ้วว่ะสำหรับข้า ข้าว่าจะคุยเรื่องเนื้อเยื่อแห่งธรรมซักหน่อย ชักขี้เกียจ

ลูกศิษย์ : คุยเลยค่า แต่หากหลวงตาปวดตาก็นิมนต์พัก เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย

พระอาจารย์ : ธรรมชาติคนเรานี่ มันจะยึดในสิ่งที่ตนเข้าใจ ว่า ตนเห็นถูก และการเห็นถูกนี่ มันจะไม่ขยับขยายออกไปซะด้วย เพราะมันเป็น กูถูก เมื่อกูถูก มันก็เริ่มเหี้ยล่ะ

ธรรมชาติเช่นนี้ จะเป็นกันทุกคน นี่ เป็นอุปาทานตามธรรมชาติของใจเรา ที่เราไหลไปโดยไม่รู้ต้ว

เราต้องหัดหันมาย้อนดูใจเราบ้างเช่นกัน อะไรที่เราคิดว่าใช่ คิดว่าถูก มันถูกจริงหรือ เราลองสาวผลหาเหตุลงไปบ้างรึเปล่า

หรือแค่ฟังคำแค่เขาเล่ามา ว่าๆ กันมา ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ แล้วเอาสิ่งที่เขาว่ามา มาตัดสินกลายเป็นกูว่า เออๆกูก็ว่าไปซะ

เมื่อมีกูว่าเข้ามาเสือกในเรื่องราว คราวนี้มันก็จะขยายและปรุงแต่งไปตามใจกูละ

หากว่าสิ่งที่กูว่า มันเกิดกับคนที่เราเขม่นๆ มันอยู่ ไอ้ที่กูว่านี่ มันก็จะดำเนินมาทางอกุศลละ และเชื้อเหี้ยๆ นี่ มันลามเร็วซะด้วย

พอได้พวก มันก็จะไถ่ถามและปรุงไปตามความรู้สึกของกูว่า กูว่าอย่างนี้ กูว่าอย่างนั้น

เมื่อมันได้พวก มันก็จะลามไปเป็น มึงว่ากะกูไหม ทำไมมันจึงต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้

ไอ้เพื่อนมันก็จะขานรับว่า เออๆ กูก็ว่า ไอ้กูว่ามันก็จะใส่ยศ เออๆเข้าไปให้มันโก้เข้าไปอีก

นี่ ไอ้กูว่า และไอ้เออๆ กูก็ว่านี่ มันเป็นไวรัสที่แพร่เชื้อไว และเร็วมาก อีกฝ่ายที่ยังไม่ชี้แจง ก็เลยเป็นตัวเหี้ยไปเลย ในสายตาของพวก กูว่า และ เออๆ กูก็ว่า

นี่เป็นธรรมดาของมนุษน์โลก ที่กำลังปัญญาและสติมันอ่อน ความอ่อนแห่งปัญญาและสติเช่นนี้

แม้จะจบด๊อกเตอร์ จบปริญญา หรือป.4 มันก็มีความเป็นไอ้โง่เสมอกันนั่นแหละ

บางอย่างความเข้าใจผิดแห่งทิฏฐิเรา มันก็อาจไปทำลายความดีของผู้อื่นเสียนี่

คนเราที่มันมองหน้ากันไม่ติด ก็เกิดจาก กูว่า และ เออๆ กูก็ว่านี่แหละ

นี่เป็นเพราะใจมันไม่ฟังความ มันฟังแต่หัวใจ ที่มันไหลไปตามกิเลสแห่งกูว่า และ เออๆ กูก็ว่า

คนที่มีใจไหลไปกับกระแส กูว่า และ เออๆ กูก็ว่า เป็นพวกที่ใจมันยังทุศีล

พวกทุศีลนี่ มันจะขาดการตรึกตรอง มันชอบที่จะเพ่งโทษ

เมื่อขาดการตรึกตรอง มันก็จะขาดสติ

คนที่ขาดสติ มันก็จะขาดความสำรวม

ความสำรวมในที่นี้ คือ กาย วาจา ใจ ที่ไม่เป็นไปในทาง กุศล

ใจมี่มันไม่เป็นกุศล มันก็จะคอยเพ่งโทษและจับผิดคน มันจะพร่ำแต่ความคิดตน ว่า กูว่า และหาพวกพ้องที่พยักหน้าว่า เออๆ กูก็ว่า

ไอ้สองตัวนี่ มันเป็นเชื้อโรคที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างสำหรับคนใจพร่อง หากใจมันหนักมาทางกุศล คนที่โดนกูว่า และ เออๆ กูก็ว่า ก็จะเป็น ฮีโร่ เพราะถูกใจเป็นเหตุ

แม้จะใช้คำว่า เฮ้ย ไอ้สัตว์นี่ กูว่ามันเจ๋งว่ะ และ เออๆ กูว่าไอ้เหี้ยนี่มันสุดตีนดี นี่ เพราะ กูว่า และเออๆก็ก็ว่ามาทางถูกใจ

หากเป็นใจที่หนักมาทาง อกุศล คนที่โดนกูว่า และ เออๆ กูก็ว่า มันก็จะเป็นตัวเหี้ยในสายตา นี่ เพราะความไม่ถูกใจเป็นเหตุ

อะไรไม่ถูกใจ มันก็เหี้ยกันไปซะหมด อะไรถูกใจ มันก็ชอบใจกันไปซะหมด

นี่กระแสแห่งกูว่า และเออๆ กูก็ว่านี่ มันเป็นกระแสแห่งตัวตน เป็นจอมอัตตาที่ถอดถอนใจได้ยาก

มันเป็นกิเลสตัวโตที่ครอบครองใจอย่างยากที่จะถอน มันเป็นความทุศีลที่ก่อเกิดขึ้นในใจ คนที่ทุศีล แม้จะรักษาศีลอย่างดีเป็นข้อๆ

มันก็คือจอมทุศีลที่ไม่มีวันเป็นผู้ไม่ทุศีลไปได้ คนที่ไม่มีศีล ย่อมตกเป็นทาสของนิวรณ์ห้า

คนที่เป็นทาสของนิวร์ห้า เพราะเป็นคนที่มีใจโดนครอบงำแห่งอวิชามันหนาแน่น

เมื่อหนาแน่น มันก็จะยึดอัตตาแห่งความคิดของใจตนเป็นเหตุ

คนที่เอาแต่ใจตนเป็นเหตุ มันจะไม่ค่อยฟังใคร

เมื่อไม่ค่อยฟังใคร มันก็จะจมอยู่แต่ในความคิดตน ด้วยความเห็นที่ว่า กูว่า และเออๆ กูก็ว่า

นี่แหละ เป็นมนุษย์แห่งความเป็นจอมตัวตน ความเป็นจอมตัวตน มันจะไม่ฟังใคร และชอบเพ่งโทษคน

อะไรถูกใจ กูก็ชอบใจ ถูกใจไปซะหมด

อะไรที่ไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจไปซะหมด

นี่ เป็นจอมตัวตนที่ตกอยู่ในกระแสแห่ง ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจโดยไม่รูจบ และตัณหานี้มันก็ผุดขึ้นมาจนเราตายกันไปข้าง

ใจเช่นนี้ ตลอดชีวิตนี้ มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะใจมันโดนย้อมด้วยกระแสแห่ง กูว่า และ เออๆ กูก็ว่า อย่างไม่รู้จบอยู่ทุกวัน

นี่แม้จะเป็นคนรักษาศีลเป็นข้อๆ แค่ไหน มันก็เป็นใจที่ยังทุศีล

ใจที่ทุศีล ไม่ใช่เรามันทุศีล

ความทุศีลนี่ มันเป็นปกติแห่งใจที่เรามันย้อมลงไปอย่างขาดสติ อยู่เนืองๆ ด้วยอาการ แห่ง กูว่า และ เออๆ กูก็ว่า

เราทั้งหลาย ต่างมีใจที่มี กูว่า และ เออๆ กูก็ว่ากันได้ แต่อย่าให้มันไหลไปในทางแห่งอกุศล

ตัวที่จะระวังและเจือจางอาการเช่นนี้ได้ก็คือ การตรึกตรองด้วยปัญญาที่มี สติ

ตรองว่า ไอ้ที่กูว่า และเออๆ กูก็ว่า มันเป็นพิษเป็นภัยต่อใจเราและผู้อื่นหรือไม่

หากเป็น ทำให้ความสัมพันธ์ดีๆ เสียหาย เราก็ไม่ควรพึงทำ

แต่ทำแล้ว ผลวิบากที่สวนกลับมาเราพอต้านได้ เราอยากจะทำ เราก็ทำไป เราเป็นผู้รับวิบากทั้งหลาย

หากใจมันทุศีล กายเราแตกเมื่อไหร่ ใจเรามันก็จะดำเนินไปในทางมืด

ฉะนั้น เราไม่ควรย้อมใจเรา ด้วยความคิดและการกระทำใดๆ ที่ขาดการตรึกตรอง

ใจที่ขาดการตรึกตรอง มันเป็นใจของผู้ทุศีลที่ขาดเนื่องด้วย สติ

พวกเรา อย่าได้ดำเนินใจมาทางแนวนี้เลย ข้าก็แค่ได้แต่ตักเตือนว่า

มันจะเป็นการย้อมใจให้ใจเรามันหนาไปด้วยความเป็นจอมตัวตน โดยไม่รู้ตัว จอมตัวตนมันจะไม่ค่อยฟังใคร อย่างให้มันเป็นใหญ่ มาครองใจเรา

คืนนี้ คุยมาเยอะแล้ว ข้าขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง