*** “ผู้เห็นธรรม ย่อมไม่ถือโกรธด้วยอัตตาตน” ***
ตอนยืนอยู่ที่อินเดีย ที่เมืองอัครา ยืนท่ามกลางผู้คน
ข้ามองผู้คน วิถีผู้คน ที่ดูว่า เขาแตกต่างไปจากเรา
เรามองตัวเราเองว่าเป็นนักบวช เป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นคนดี เป็นชาวพุทธ เป็นพระ..
ที่นี่ไม่มีพระ เขาเรียกเราว่า นักบวชหรือนักพรต เขานอบน้อบนักพรต เขาดูว่านี่คือผู้หาหนทางเดินอันบริสุทธิ์
มีคนเดินมาถามข้าว่า บุดด้ารึ.? ข้ามองหน้าแล้วชี้ไปที่พระของเรา ที่ใส่ผ้าปะๆ
เขาจ้องหน้างงๆ แล้วเดินไปนมัสเตพระเรา ข้าไม่ห่มอะไรเรียบร้อยนัก แค่ผ้ามาพันๆกันหนาวเท่านั้น
ที่นี่เป็นอิสลามและฮินดู รวมถึงผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยปะปนอยู่มากมาย
ได้คุยกับผู้ชายท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคนออกแบบมงกุฏให้แก่นางงามจักรวาลของเขาทั้งสามท่าน
เป็นตระกูลออกแบบเครื่องทรงและเครื่องประดับให้แก่กษัตริย์แห่งเจปรู มาหลายๆรุ่นตกทอดกันมา
เขาบอกว่า เขามองมนุษย์ด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่ได้มองมนุษย์ด้วยการแบ่งแยกวรรณหรือศาสนา
เขามีความสุขในชีวิตที่มี พระเจ้าจะมีหรือไม่มี เขาก็ต้องดิ้นรนทำมาหากินเอง
เขาจึงไม่ต้องเป็นทาสทางความคิดใคร แม้แต่พระเจ้าที่จะมาดลบันดาลให้อย่างใครๆ
เขาถามว่า ข้านับถืออะไรถึงได้แต่งกายเช่นนี้
ข้าบอกว่า บรรพบุรุษของท่านที่เป็นชาวอินเดียนี่แหละ เป็นผู้มีปัญญาสูงสุดมาก ที่เห็นความจริงตามธรรมชาติ
เมื่อได้ศึกษาใคร่ครวญดูแล้ว มันเป็นจริงตามที่บรรพบุรุษของท่านบอก
ข้านอบน้อมต่อปัญญาต่อท่านผู้นั้น อันเป็นชาวอินเดียและเป็นบรรพบุรุษของท่าน
เขามองหน้าถามว่า บรรพบุรุษของเราชี้ธรรมชาติแบบไหน ท่านจึงได้เดินตามปัญญาเขา
ข้าชี้ไปที่บานประตู.. หากประตูนั้นสวิงไปโดนหน้าท่านจนแตก ท่านโกรธประตูไหม..
เขายักใหล่แบมือ บอกว่า คงไม่โกรธ ประตูจะไปรู้อะไร..
” นั่นแหละธรรมชาติล่ะ เมื่อผัสสะแล้วไร้ซึ่งตัวตนมาให้ค่านิยาม ความโกรธย่อมไม่มี แม้ตัวท่านจะโดนทำร้าย ”
เขามองหน้าไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อข้าบอกเขา
” แล้วถ้ามีคนสวิงประตูใส่หน้าท่าน จนหน้าท่านแหก ท่านโกรธไหม..
โกรธซิ..มาทำร้ายกัน.! เขาตอบ
แล้วถ้าคน คนนั้นเป็นคนบ้าล่ะ..? ข้าถาม.
เขาแบมือยักใหล่ทำปากแบะลงล่าง ตอบว่า ก็มันบ้า..คงไม่โกรธหรือถือโทษมัน..
ข้ายิ้มและตอบว่า ” นั่นแหละธรรมชาติ มันย่อมไม่มีความโกรธ ที่โกรธนั้นเรากำลังครอบงำธรรมชาติ
เขางงๆ และไม่เข้าใจ..
แล้วถ้าเกิดจากคนที่ไม่ได้บ้าล่ะ เขาสวิงประตูกระแทกหน้าท่าน ด้วยเจตนาท่านโกรธไหม..
โกรธ. เขาตอบมา
แล้วถ้าคนนั้นมันเป็นคนเมาล่ะ เรียกว่าขาดสติ ความโกรธท่านจะอาฆาตเขาไหม ทั้งๆที่มีเจตนาตามประสาคนเมา ข้าถาม..
เขาเหลือกตามองฝ้าเพดาน ส่ายหน้า ถ้าเมาก็คงไม่โกรธมัน เพราะมันเมาคงไม่รู้เรื่อง
นั่นแหละ..ธรรมชาติ.
เขาไม่เข้าใจ ว่าธรรมชาติเช่นไร..
ธรรมชาติของท่าน เข้าใจธรรมชาติ ว่ามันเป็นธรรมชาติเช่นไร ท่านจึงไม่ถือโกรธ
แต่ตัวท่านเอง ไม่เข้าใจในความเป็นตัวท่านที่เข้าใจธรรมชาติ ที่ท่านเป็น..
คนที่มองเห็นธรรมชาติจริงๆด้วยปัญญา จะไม่ถือโกรธ ถือโลภ หรือถืออะไรทั้งนั้นในทางอารมณ์
ดั่งที่ท่านไม่ถือโกรธ ไม่สานต่อความโกรธประตูที่สวิงใส่หน้าท่าน
หรือคนบ้า คนเมา สวิงประตูใส่หน้าท่าน ท่านไม่ถือ นั่นเพราะท่านเห็นเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเช่นนี้ และประตูที่มันไม่รู้เรื่อง
แต่ถ้าคนธรรมดาทั่วไป อย่างเช่นลูกจ้างท่านล่ะ เขาสวิงประตูใส่หน้าท่าน ท่านโกรธไหม..
โกรธซิ. ในเมื่อเขาไม่ได้บ้า ไม่ได้เมา เขาตอบ.
ตรงนี้แหละๆ ที่คนเราก้าวข้ามสมุติแห่งตัวตนไม่ได้ ความโกรธ ความไม่ชอบใจมันจึงมี..
” ก็จู่ๆมาทำร้ายกันเช่นนี้ ใครๆก็ต้องโกรธล่ะ..เขากอดเสาเถียง.
ก็นั่นแหละ คือสิ่งที่ข้ากำลังอธิบาย ว่ามนุษย์เรามันถืออัตตา เอาตัวตน เขา เรา มาเป็นอัตตา
เวลาประตูสวิงโดนหน้า เราไม่โกรธ ไม่โทษประตู
เวลาคนบ้าสวิงโดนหน้า ไม่ถือโกรธ เพราะใจมันเข้าใจว่าไอ้นี่บ้า
เวลาคนเมาสวิงโดนหน้า โกรธ แต่ไม่อาฆาตเพราะว่ามันเมา
แต่ถ้าคนธรรมดาทั่วไป สวิงประตูใส่หน้าท่าน ท่านโกรธและอาฆาตผู้ที่ทำ
ท่านลองตรึกดูซิ ว่ามันไม่ผิดปกติรึ ในวิถีชีวิตมนุษย์เรา..
เขานิ่งและคิดไม่ออก เอ่ยว่า.. หากโดนกระทำก็ต้องโกรธซิ ใครไม่โกรธไม่ถือโกรธก็บ้าแล้ว
ข้ามองหน้าเขา..นั่นแหละๆๆ เพราะท่านไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เขาทำมันก็คือธรรมชาติของเขา เพียงแต่เรามันไม่เข้าใจธรรมชาติของเขาน่ะ
ว่าไอ้บ้านี่..มันก็เป็นธรรมชาติของมันเช่นนี้ โดนซักครั้งแล้วเราควรอยู่ห่างๆมัน เหมือนอยู่ห่างๆจากคนบ้า
แต่เราโกรธมัน อาฆาตมัน ทำร้ายมัน เพราะทำร้ายเรา
ตรงนี้แหละ เรามองธรรมชาติที่มันมีที่มันเป็นธรรมดาของมันไม่เห็นไม่เจอ มันเป็นธรรมเบื้องต้น ที่บรรพบุรุษของท่านชี้เราเรื่อง อัตตาน่ะ..
ความโกรธเกิดจากอัตตา ความอาฆาตเกิดจากอัตตา ความให้ได้ดั่งใจ เกิดจากอัตตา ถูกผิด ดีชั่ว อะไรต่ออะไร ก็เกิดจากอัตตาทั้งสิ้น
และอัตตานี้ก็คือสมมุติอย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาครอบงำธรรมชาติ
มันครอบงำเราซะจนลืมธรรมชาติด้วยการกลืนกินมันไปจนกลายเป็นตัวเรา
บรรพบุรุษของท่าน ชี้ให้เห็นอัตตาตัวนี้ และเราพึงศึกษาและเข้าใจมัน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับมันให้เป็น
เรานับถือความเป็นตถาตา อันเป็นธรรมที่บรรพบุรุษของท่านได้ชี้ไว้ ในนามของตถาคต
เรานับถือปัญญาและนอบน้อมต่อตถาคตผู้นั้น อันเป็นชนอินเดีย เราถือท่านเป็นองค์ศาสดา
นี่คือสิ่งที่ท่านถามว่าเรานั้น..นับถืออะไรและใครเป็นผู้นำจิตวิญญานเรา..
เขายิ้มส่ายหน้าเป็นอันเข้าใจ เอามือมาจับมือข้าแล้วเอาไปกุมที่หัวใจตรงหน้าอก
เขาเข้าใจ และซึ้งในธรรมที่ได้อธิบาย ตกลงใจ ลดราคาสินค้าจากห้าพันเหลือสามร้อยตามที่ข้าได้ต่อรอง…
“เสร็จกุ….เปิดซะแพง..!!
พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 31 มกราคม 2563