สติแห่งจิตวิถี

สติแห่งจิตวิถี

1314
0
แบ่งปัน

สติแห่งวิถีจิต

ลูกศิษย์ : กราบนมัสการพ่อครูพระคุณเจ้าขอรับ กระผมใคร่เรียนถามในข้อธรรมขอพ่อครูพระคุณเจ้า โปรดอนุเคราะห์โดยธรรมอันสัมมาด้วยเถิดขอรับ

ด้วยกระผมไม่ได้ปฏิบัติในวิธีแห่งการเจริญฌานสมาธิ แต่ใช้วิธีพิจารณาความจริงอันปรากฏโดยผัสสะในปัจจุบันเป็นเครื่องพิจารณา

เมื่อได้สดับธรรมของพ่อครูพระคุณเจ้า ก็พิจารณาย้อนในธรรมอันเคยพิจารณาโดยความเทียบเคียงในข้อธรรมอันพ่อครูแสดง

จึงใคร่เรียนถามพ่อครูฯ ขอรับ ว่าภาวะแห่งพุทธะอันเป็นตัวรู้นั้น เป็นสภาวะธรรมตัวที่สืบเนื่องแห่งกาย เวทนา จิต (ผู้ดู) จนเกิดเป็นความแจ้งชัด เมื่อนั้น ผู้รู้คือ พุทธะ จึงเกิด เช่นนี้ถูกต้องหรือเปล่าขอรับ กราบนมัสการขอรับพ่อครูฯ

พ่อครูพระคุณเจ้าขอรับ พ่อครูฯ มีวิหารธรรมใดเป็นเครื่องอาศัยแห่งความเป็นปกติขอรับ แล้วมรรควิถีอันอาศัยแห่งวิหารธรรมนั้นเป็นเช่นไรขอรับพ่อครู กราบนมัสการขอบพระคุณในเมตตาอันพ่อครูฯ ได้กรุณาแล้วแก่กระผมและเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ขอรับ

<<พระอาจารย์ : ได้ซิ แสดงพอสังเขป..

หวัดดี ปัจจุบันธรรม การไม่ได้เจริญฌานทางสมาธิ ใช้วิธีพิจารณาความจริงอันอาศัยธรรมแห่งผัสสะ

เป็นการเจริญวิปัสสนาที่ง่าย.. แต่เข้าถึงความเห็นจริงและหลุดพ้นยาก..

มันต้องมีผู้ชี้ ที่มีธรรมอันเกิดจากวิสัยภูมิที่เข้าถึงชี้ มันจึงจะปรากฏและเห็นได้โดยง่าย

เห็นแล้วก็ต้องมาเจริญฌานต่อเพื่อเป็นกำลังในการถอดถอนอยู่ดี

การเจริญฌานก็ต้องมาชี้แจงกันอีก แต่นัยยะรวมมันเป็นไปตามครรลองวิถีนั้น

การแจ้งชัดใน กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น มันมีหลายรอบ

มันแจ้งชัดด้วยสภาวะมันเอง ใช่เราเป็นผู้รู้แจ้ง

เป็นแต่อาการแห่งความเป็นเรามันเข้าไปเป็นเจ้าของการรู้แจ้งนั้น โดยบาทวิถีแห่งสัญชาตญาณของโปรแกรมจิต

เป็นธรรมดาของอาการในหน้าที่ของมัน ที่ปรุงแต่งมาจากสังขาร เป็นแต่ว่า เป็นตัวมันยึดตัวมันเองและทุกอาการที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาตามกระบวนการ

เราฝึกดู กาย เวทนา จิต ธรรม หรืออะไรในกองกรรมฐานนี้ ก็เพื่อให้ใจตนเองมองเห็นความจริงทั้งหลาย

และการกระทำทั้งหลาย ก็เพื่อย้อมใจให้มันเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว มันมีของมันเช่นนี้

หากใจมันรวมและมีน้ำหนักพอ มันก็กระจ่างด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่เราเป็น หรือเราเป็นผู้กระจ่าง

ไอ้เรามันกระจ่างอะไรได้ หากมันยังไม่สุกงอม มันก็มีแต่มานะและทิฏฐิเท่านั้นเอง

เพราะเรามันชอบไปเป็นเจ้าของการกระทำ

การพิจารณาหรือการกระทำ เราหมั่นฝึกฝนย้อมเข้าไปอยู่เนืองๆ

มันไม่ได้ดั่งใจหรอก แต่เราก็ต้องหมั่นทำ ตามวิสัยและจริตภูมิ

พิจารณาถอดถอนและสาวผลไปหาเหตุอยู่เนืองๆ อย่าไปหวังผลว่าต้องบรรลุธรรมเลย

เราตั้งสติและทำหน้าที่ย้อมใจเราอยู่เนืองๆ ด้วยปัญญาเท่าที่มี

วันหนึ่งเมื่อกายแตกน้ำหนักที่เราย้อมอยู่เนืองๆ ด้วยกุศลจิต มันจะส่งผลให้เราไปทางสว่าง

แต่หากมันสุกงอมขึ้นมาก่อนด้วยกำลังแห่งสติและปัญญา กาลหน้าสังขารแห่งการรวมรูปมันก็จะไม่มี

ที่มีก็เป็นแค่เพียงอายตนะ ที่เป็นธรรมชาติธรรมดาของมันที่มันเคยมีและบันทึก

แม้อาจจะต้องค้างอยู่ภพใดภพหนึ่ง แต่อีกไม่นาน เมื่อสติตามมาทัน มันก็ระลึกของมันตามวิถีโปรแกรมของมันได้เอง

ส่วนวิหารธรรมอันเป็นปกติวิสัย คือ “.. ทาน ..” ข้าอาศัยการยอมรับแห่งที่สุดแห่งปัญหาเป็นเครื่องเจริญมรรค ส่วนอย่างอื่นเป็นไปตามเหตุปัจจัย

เพียงแต่คำว่า ทาน มันต้องแสดงวิสัยภูมิกันอีก ว่าอะไรคือทาน อันเป็นวิหารธรรม

ส่วนการเดินมรรค อาศัยการยอมรับเท่าที่ปัญญาจะมีกำลังแก้ได้ เป็นเครื่องอาศัยแห่งวิถี วิหารธรรม..

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง