อารมณ์เปรียบดั่งไฟ….

อารมณ์เปรียบดั่งไฟ….

1097
0
แบ่งปัน

อารมณ์เปรียบดั่งไฟ

 

ที่นี่เริ่มหนาว… วันนี้ก็เลยไม่อาบน้ำ ใกล้สิ้นปีแล้ว บางคนแทบจะสิ้นใจ นี่.. มันหนาด้วยอารมณ์แห่งการทำใจไม่ได้

มนุษย์นี่ หนาไปด้วยความคิดเห็นเพื่อตัวตนเป็นเหตุ ชอบสะสมความคิดเห็นแห่งตน น้อยคนที่จะเข้าใจ และเอาความคิดเห็นที่ตนยึดไว้ มองดูว่ามันเป็นแค่เพียง “.. อากาศ ..”

คนเรามักจะหลงความคิดเสมอ เข้าใจว่าความคิดเห็นแห่งตนคิดนั้นมันถูก เมื่อโดนเบรกโดนทักท้วง จากฝ่ายที่เห็นว่าไม่ถูก ความเดือดร้อนใจมันก็เกิด

นี่.. เป็นธรรมชาติแห่งคนที่มีปัญญาอ่อน และคนทั้งหลาย ต่างก็เป็นกันทั้งโลกซะด้วย

เรื่องพวกนี้ เป็นธรรมดาของเหล่าปุถุชน เพราะแม้พระอริยเจ้า ท่านก็เป็น ที่เป็นเพราะมันเป็นธรรมดาของจริตวิถีแห่งการดำเนิน

เพียงแต่… พระอริยเจ้า ความเดือดร้อนใจมันทุเลาเบาบางและจางคลายมันลดลงลงมาตามภูมิระดับแห่งปัญญา

ปัญญาสูงที่แจ้งแทงตลอด ท่านก็แทบจะไม่เดือดร้อนใจอะไรเลย ที่เดือดร้อนมีอยู่บ้าง ก็เพราะต้องอาศัยสัญญาสมมุติเป็นเครื่องอยู่แห่งรูปนาม

แต่ความเดือดร้อน มันมีอาณาเขตของมัน หลุดออกนอกอาณาเขต ท่านก็ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ว่าการเกิด มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ท่านจึงยอมรับกับกฏข้อนี้ของโลกได้

ส่วนพระอริยเจ้าที่มีกำลังภูมิต่ำลงมา อาณาเขตก็ขยายกว้างออกไปมากขึ้น มันมีการรองรับได้กว้างออกไปตามภูมิแห่งระดับปัญญาที่มี

…แต่ยังไงก็ยังมีอาณาเขต ออกนอกอาณาเขตที่จะรับได้เมื่อไหร่ ท่านก็ทำใจยอมรับได้ ว่าที่สุด โลกมันก็เป็นของมันเช่นนี้

ต่างกับใจของเหล่าปุถุชน ปุถุชน หมายถึง ..ผู้ที่มีกิเลสหนา..

ใจมันไม่มีอาณาเขต มันไหลออกไปเรื่อย มันยอมรับอะไรแห่งความเป็นจริงไม่ได้เลย มันคอยแต่จะดั้นด้นแสวงหาไร้ขอบเขตแห่งกำลัง

มันไปของมันเรื่อย ดุจว่าวที่สายป่านขาด เรียกว่าเป็นผู้ขาดสติพิจารณามองความเป็นจริงที่ปรากฏไม่ออก

ที่สุด… เจ้าของก็จะเผชิญทุกข์ และทุกข์นี้ เจ้าของหนีมันไม่ออก

ที่ไม่ออกเพราะขาดสติปัญญามองเห็นความเป็นจริงแห่งธรรมดาของใจเจ้าของที่มีต่อโลก

มันมองไม่เห็นด้ามที่เป็นไฟฉาย ความคิดมันเหมือนไฟฉาย มันส่องจ้าสว่างในทิศทางที่มันจ้า

แต่ในความจ้าที่ส่องสว่างเข้าไปเห็น มันมองไม่เห็นด้ามของมันที่เป็นแค่ท่อนเล็กๆ มองด้ามตนเองที่มืดมิดไม่เห็น

มันเป็นมนุษย์พันธุ์ไฟฉายที่มองเห็น ทุกสิ่งที่มันต้องการจะมอง นี่..มนุษย์เราทุกคนก็เป็นเช่นไฟฉาย

หากมีซักราย ได้ดับความจ้าแห่งแสงสว่างลงบ้าง เลิกเพ่งผู้อื่นที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอัตตาตัวตนลงบ้าง

ความสำคัญแห่งแสงของมนุษย์ไฟฉาย มันก็จะลดความร้อนแรง

มันอาจหันมาสาดแสงสอดส่งผู้ถือไฟ ว่าแท้จริงเจ้าของผู้ถือไฟ ต่างก็จัญไร ไม่แพ้ผู้โดนแสงไฟ ที่โดนเพ่งมอง

นี่..คนเรามักเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา ไม่ค่อยจะมองเห็นตนเองเป็นธรรมดา

หากมีใครซักคนที่สอดส่องลงไปมองเห็นตนเองได้ ทั้งกาย ความคิด จิต และธรรม มันก็จะปรากฏให้เจ้าของเห็น

…เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นเราก็จะเป็นผู้เห็นสิ่งเดียวกัน…

แล้วเราจะไม่ไปเพ่งโทษใคร ให้ใจเรานี้ ต้องกลับมาปวดใจ เพราะใครๆ เขาต่างก็มาเพ่งโทษเราเช่นกัน

ธรรมคืนนี้มันซ้อนนัยยะ อาจฟังยากหน่อย…. แต่หากใครมีสมองซักเล็กน้อย มันก็จะเข้าใจว่านี่เป็นธรรมแห่งความเป็นธรรมดา

คืนนี้ขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2557
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
***************************

อารมณ์มันก็เหมือนไม้ขีดไฟ

เมื่อเกิดการผัสสะ มันก็ติดเป็นประกายไฟ

ผู้รู้ ผู้เข้าใจ ย่อมมีปัญญา มองดูความเป็นไม้ขีดไฟ ไปตามเหตุและปัจจัย

บางสิ่งยิ่งเติมเชื้อไฟ ใจมันก็ลุกโชนด้วยอำนาจแห่งเชื้อไฟ

บางอย่าง หากมีสติ ไม่ใส่เชื้อไฟเพิ่มแรงให้เกิดแสงแห่งไฟ

ไม้ขีดไฟ แม้จุดติดประกายขึ้นมาจากใจแล้ว

มันก็ย่อมหมดเชื้อไฟไปแค่ ก้านแห่งไม้ขีดไฟ

มันไม่ลุกลามเป็นไฟกองใหญ่ ด้วยเชื้อที่ใส่เข้าไปเพื่อสุมเป็นกองไฟ

จนเป็นไฟกองใหญ่ที่เผาผลาญใจเจ้าของ และลุกโชนจนเผาผลาญใครอื่น

ให้พลอยเดือดร้อนใจ และอาจลามเป็นไฟ ที่เผาโลกทั้งใบ ด้วยเหตุแห่งไม้ขีดไฟ

ที่ใส่เชื้อเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

พึงมีสติปล่อยให้มันเป็นไฟ เผาผลาญแค่ก้านไม้ขีดไฟ

อย่าให้มันลาม จนกลายเป็นไฟ ที่ไหม้ลามเผาใจใคร ให้วอดวายเพราะพิษร้ายแห่งไม้ขีดไฟ ที่จุดติดไฟไปจากใจเรา…

ไม้ขีดไฟ เผาอะไรก็ไม่ทำให้เนื้อไหนสุก

แต่โลกทั้งใบ วอดวายได้ด้วยเหตุแห่งไม้ขีดไฟ

ที่ใส่เติมเชื้อแห่งไฟลงไป ไฟแค่ไม้ขีดไฟ

แม้เติมเชื้อเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

อารมณ์ก็เหมือนไม้ขีดไฟ เติมเชื้อลงไปเท่าไหร่

กระแสแห่งความเป็นไฟ มันก็ยิ่งลุกโชน ทำความร้อนใจให้แก่เจ้าของ จนมอดไหม้ไปทั้งใจ

เรามีสติให้ไฟมันหมดแค่ก้านไม่ขีดไฟ สงบใจด้วยสติ อย่าใส่เชื้อไฟให้ลามจนเป็นไฟกองใหญ่ เผาใจ จนเจ้าของทุรนทุรายเองเลย..

โลกนี้ ท่านว่า มีสิ่งไม่เคยพอ ถมเท่าไหร่ก็ไม่พอ สิ่งนั่นคือ

ไฟ… ใส่เชื้อลงไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

ทะเล…. ใส่น้ำลงไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

ตัณหาแห่งใจคน…ได้เท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง …พูด คิด ทำ สิ่งใด อย่าให้ใจต้องเดือดร้อน… ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

>>ลูกศิษย์ : หลวงพี่คะ หนูมีคำถาม ถ้าเราหนีการผัสสะเนี่ย เราโง่มั้ยคะ

<<พระอาจารย์ : ไปยืนหน้ากระจก แล้วหนีเงาเราซิ ถ้าหนีได้ ผัสสะก็หนีได้ ถ้าหนีเงาได้ หนีผัสสะก็ไม่โง่แล้วหนู หรือจะเอาอย่างนี้

เอาไม้ลูกชิ้นทิ่มลูกกะตาทั้งคู่ นี่..หนีผัสสะทางรูปภาพได้

ทิ่มหู ก็หนีผัสสะทางเสียงได้

นี่..เป็นศิษย์บุญญพลัง แต่ไม่เข้าใจผัสสะ

เอาความถูกใจไม่ถูกใจมาเป็นผัสสะ

ไอ้ที่ชอบใจก็อย่าไปเอามันด้วยซิ นี่มันก็มีเหตุมาจากผัสสะเหมือนกัน

ได้ดั่งใจนี่ ชอบ

ไม่ได้ดั่งใจนี่ ไม่ชอบ

นี่..ชีวิตของคนที่ต้องจมกับความทุกข์ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติแห่งจิตเป็นเหตุ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง