ยึดศีล…ก็ทุกข์ ท่อน 1

ยึดศีล…ก็ทุกข์ ท่อน 1

1166
0
แบ่งปัน
>> ลูกศิษย์ 1 : กราบนมัสการ พระอาจารย์ ครับ เช้านี้ กำลัง กระหายธรรม เปิดเฟส มาเจอ ธรรมะของพระอาจารย์ รู้สึก ดีใจ นี่ เขาเรียก ปิติ หรือเปล่าครับ หรือ แค่ ความชอบ อะครับ สาธุ สาธุ สาธุ   ยึดศีล...ก็ทุกข์ ท่อน 1
<< พระอาจารย์ : คนดี มั้ง นะ….. เรียกว่าปิติจิตก็ได้ มันอาศัย ศรัทธาธรรมเป็นเหตุ นี่แสดงว่า นรกห่างใจหากรักษา อารมณ์เช่นนี้ไว้ เป็นเสบียง

เพราะความปิตินี้ ให้เอาสติปัญญาเข้าไปตรอง ให้เกิดกำลังแห่ง ความละอายชั่วกลัวบาป ใจดวงนี้ ก็จะมีใจที่มีศีลวิมุติได้

ใครมีศีลวิมุติ ได้ชื่อว่า เป็นพระผู้ประเสริฐ ปิดอบายภูมิได้แน่นอน..

>> ลูกศิษย์ : ขอกราบนมัสการครับ…ผมของทวงเทศน์นาเรื่องการดื่มในศีลข้อ๕ ครับผม…ถ้าไม่เป็นการรบกวนพระคุณเจ้า..ครับ..

<< พระอาจารย์ : Meena Mana นึกว่ามันจะลืมไปแล้วซะอีก เมื่อวานยังพูดๆ เรื่องนี้กันอยู่ ข้านี้มันเป็นหนี้คนเยอะ ต้องตามชดใช้กันขี้แหกเหมือนกัน

เรื่องการดื่มสุราในศีลข้อ 5 นี้ ต้องสาวไปที่เหตุก่อน ใครจะว่าไรก็ช่าง ข้าว่ากันตามป่าๆ ที่รู้เห็นละ

สมัยก่อน ข้อศีลเหล่านี้ คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ศีล 311 ข้อ อะไรนี้ ในพุทธศาสนา ไม่มี

พระพุทธองค์เจ้าทุกๆ พระองค์ทรงชี้ แต่ปาฏิโมกข์ศีล คือ ไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี และรักษาความดีนี้ให้เจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป ท่านให้รักษาใจแต่เพียงเท่านี้

ส่วนข้อศีลทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องของพวกนอก ศาสนาที่เขาพากันประพฤติกัน และเขาก็วางมาตการกันเป็นข้อๆ และมีเป็นร้อยเป็นพันข้อ ตามความเข้มข้นแห่งกำลังใจที่จะปฏิบัติ เอามาเป็นเครื่องยึด

สมัยนั้น ก็ไม่ต่างจากสมัยนี้ คือความโง่ที่มีที่ยึดกัน และแตกแยกความคิดเห็นของความเชื่อ เป็นไปตามลัทธิและเทพเจ้าที่คิดเอา

คำว่าศีล 5 นี่ มันเกิดภายหลัง อรรถาจารย์ นำเอามารวบรวมเป็นข้อศีลของชาวพุทธ ทั้งๆ ที่ศีล 5 นี้ เป็นข้อศีลที่มีในทุกๆ ลัทธิ และทุกๆ ศาสนากันอยู่แล้ว

แต่นอกศาสนาไม่ได้เรียกว่า ศีล 5 แต่เป็นข้อศีลที่รวมๆ กันอีกหลายๆ ข้อ เพื่อความเป็นไปแห่งความพอใจ ของพระผู้เป็นเจ้า

ครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ ท่านได้กล่าวย่อในข้อศีล ที่เหล่าปวงชนทั้งหลายยึดๆ กัน ว่านั้นดี ว่านี่ดี ท่านแค่ชี้ให้เห็นว่า ข้อศีลที่ยึดๆ กัน ว่านั้นดี ว่านี่ดี มันยังไม่ดี มันยังเป็นข้อศีลแห่งปุถุชน ที่คิดๆ เอา

เพราะผู้ปฏิบัติตามข้อศีล ทุกลัทธิเขาก็จะ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่เป็นชู้ ไม่พูดปด ฯลฯ อะไรต่ออะไรมากมายอยู่ก่อนแล้ว

แต่ความดีนี้ เป็นความดีที่เป็นตัวตน เรียกว่าเป็นศีลแห่งอัตตา ทำขึ้นมาเพื่อรักษาการบำเพ็ญพรตแห่งตน ให้บริสุทธิ์และเป็นคนดี

เป็นศีลที่ขาดความละอาย เป็นการยึดที่ว่างเปล่า เพราะเมื่อถึงทิฐิ ข้อศีลที่ตั้งขึ้นมาในใจนี้ พังทะลายหมด เมื่อเหตุผลของกิเลส เข้ามาทำลาย

นี่..คือใจที่ยังไม่ได้รับการอบรม แม้จะมีข้อศีลที่ยึดที่ปฏิบัติ อย่างเข้มงวดก็ตามที

เหล่านี้เรียกข้อศีลที่ยึดนี้ว่า ศีลสมมุติ เป็นสมมุติแห่งศีลที่ยังไม่แน่นอนว่าจะพ้นจากนรกได้

พระพุทธองค์ท่านได้แสดงยกตัวอย่างข้อศีลเหล่านี้ ในเมืองสาวัตถี นี่..มั่วๆ  ให้ฟังเพราะเกิดไม่ทัน ให้กับชาวเมืองเขาฟัง

ซึ่งในเมืองมันก็มีหลายศาสนาหลายลัทธิ ที่เป็นนักปฏิบัติ ประพฤติในข้อศีลทั้งหลาย ที่เป็นข้อๆ  อันมากมาย กันอยู่แล้ว

พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุและผล ที่มนุษย์เราต้องเผชิญ ที่เห็นอยู่ในหลัก อริยสัจ ให้ทุกคนได้เข้าใจ

ท่านแสดงให้เห็นว่า ความทุกข์ทั้งหลายที่เรามี เราเป็น ล้วนมีเหตุ เหตุนี้เรียกว่า สมุทัย เกิดจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ จากใจเจ้าของนี่แหละ ไม่ได้เกิดที่ไหน

ทุกข์ทั้งหลายนี้ เกิดจากมนุษย์ทั้งหลาย มันมีใจที่ขาดการอบรมศีล ยังเป็นใจ ที่ไม่มีศีล นี่..ท่านกล่าวตรัสมาอย่างนี้ ตรัสจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปอยู่ฟังซะด้วย

แต่ทุกคนก็กล่าวแย้งกันออกมาว่า

เขามีศีล

เขาไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนใคร โดยเฉพาะ มนุษย์ด้วยกัน

เขาไม่ขโมยของใคร

เขาไม่เป็นชู้กับใคร

เขาไม่โกหกใคร

เขาไม่นอนฟูกหรือเตียงอันสบาย

เขาทานอาหารแค่นิดเดียว

เขาไม่ใช้เครื่องหอมทากาย

เขาไม่เสพสิ่งบันเทิง

เขาไม่อะไรอีกหลายอย่างตามข้อศีลที่เขายึด

พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสว่า มันยังไม่ถึงทิฏฐิ ข้อศีลเหล่านี้ พอถึงทิฏฐิ มันก็แตกกระจาย เพราะเจ้าของมันยึดถือกันขึ้นมา จากคำภีร์

ข้อศีลที่ทำให้บริสุทธิ์ได้ เป็นศีลที่มาจากใจ ไม่ใช่คำภีร์ที่ยึดๆ กัน

พราหมณ์ถามว่า ศีลแบบไหน ที่บริสุทธิ์ ศีลแบบไหนที่มาจากใจ ศีลที่เขาปฏิบัติกันอยู่แล้วนี่แหละ บริสุทธิ์

ศีลอันมากข้อ มันไม่ได้บริสุทธิ์ ด้วยการยึด ในข้อศีล แต่ใจที่ได้รับการอบรมและชี้แนะ ตรงตามความเป็นจริง และเห็นได้ นี่..เป็นใจที่มีศีล

พราหมณ์ถามว่า ใจเช่นนั้น อบรมอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ให้ใจมันบริสุทธิ์ด้วยข้อศีล อย่างหาข้อโต้แย้งไม่ได้ ว่านี่คือศีลแห่งใจที่เป็นศีล

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ข้อศีลทั้งหลาย ที่ยึดกันเป็นข้อๆ หากใจขาดความละอายต่อบาป แค่ข้อเดียว ศีลทุกข้อ ไม่มีศีลข้อไหน บริสุทธิ์

ความละอายนี้ เกิดจากใจที่ได้รับการอบรมชี้แนะ จากสัตบุรุษเท่านั้น ความละอายนี้ ไม่ได้เกิดจากปุถุชนคนกิเลสหนา ชี้แนะได้ ศาสนาไหนก็ชี้แนะไม่ได้

คนดี ที่มีข้อศีล เจ้าตัวจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ยังให้ผู้อื่นฆ่า และยินดีในการฆ่า รู้เห็นเป็นใจในการฆ่า ยังไม่เรียกว่าดี ให้คนอื่นทำ แต่ตนเองไม่ทำ กลัวตนเองจะผิดศีล แม้พระทุกวันนี้ก็เป็น นี่..ผู้มีศีลแบบเหี้ยๆ

คนดีมีข้อศีล เจ้าตัวไม่ขโมยของใคร แต่ยังยินดี ให้เจ้าขโมย ไปขโมยที่อื่น ที่ไม่ใช่แหล่งของพรรคพวกหรือของตน เรียกง่ายๆ ว่า ที่นี่เป็นพี่น้องกัน ให้ไปทำที่อื่น นี่..ก็เหี้ยหลายๆ

คนดีมีข้อศีล ในกลุ่มดีไม่ทำ แต่ยินดีให้ไปทำกับศัตรู นี่..อะไรอย่างนี้

แม้เจ้าตัวจะตั้งมั่นในข้อศีล ศีลเหล่านั้น ก็ไม่ บริสุทธิ์

พราหมณ์ถามว่า แล้วศีลที่บริสุทธ์ในความเป็นพุทธ มันเป็นอย่างไร ถึงจะได้เรียกว่า มันเป็นใจ ที่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์ยังไงก็ต้องปฏิบัติตามกันเป็นข้อๆ ตามตำราที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวตรัสประทานมาให้

นี่..เหมือนยุคนี้เลย อะไรก็ต้องตำรา ยึดตำราเป็นเทพเจ้า ผิดจากตำรา โคตรพ่อโคตรแม่มันก็จะบอกว่าไม่ใช่ งัดเอาตำรามาถกเถียงกันชิบหาย เจ้าพวกจอมอรหันต์คำภีร์

ขอพักไว้ก่อน ตอนเที่ยงจะมาอธิบาย มหากับเณร รอกินข้าว เขาหิวกันแล้ว หวัดดี เดี๋ยวมาโม้ต่อ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง จิตเป็นเหตุ…ใจจึงมี ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง