เอาอะไรกับความคาดหวัง

เอาอะไรกับความคาดหวัง

339
0
แบ่งปัน

**** “เอาอะไรกับความคาดหวัง” ****

สองเช้าที่ผ่านมานี้ ว่าจะเล่าเรื่อง ที่ได้ไปเยือนเบตง

พอตื่นมานั่งสมาธิ ใจมันก็ดันไปวินิจฉัยธรรมอะไรลึกๆโน่น

ออกจากสมาธิ มันก็ยังคงค้างอยู่กับธรรมปิตินั้น พาลทำใหัใจข้านี่นิ่งเฉย

สมาธิและธรรมปิตินี่มันทำให้เกิดความขี้เกียจ มันเฉยและอยากอยู่ในอาการสงบๆ

เหมือนมันเหนื่อยกับอาการวิ่งมาแสนไกล เมื่อได้เส้นชัย มันก็อยากมองดูโลกทั้งหลายตามเส้นทางผ่านที่เขาเป็นๆ

เหมือนนักวาดรูป ข้านี่เป็นนักเขียนภาพ perspective

ภาพออกมาสวยงามถูกใจผู้คนและลูกค้า

ถึงจุดหนึ่งบางที มันก็หยุดไปเสียดื้อๆ ใจมันไม่เอา

มันนั่งเหม่อมองภาพ เอาจินตนาการชื่นชมภาพ ทั้งๆที่เวลามันต้องเร่งส่งงานลูกค้า

มันเหมือนช๊อตและนั่งนิ่งเฉย นั่งชมภาพตนเองไปเสียนี่

จะเอื้อมจะแต้มได้แต่ละจุด ดันยังไงก็ไม่ไป มันเฉื่อยชากับสิ่งที่ทำ ทั้งๆที่ใจมันก็ไม่ได้ขี้เกียจ

เวลาแห่งเส้นชัย มันก็เร่งรอคอยอยู่ แต่ใจมันดันตัวเองออกไปไม่ได้

สองเช้านี้ก็เช่นกัน มันอยากนิ่งเฉยๆ อยากดิ่งอยู่ในสมาธิ และวินิจฉัยธรรมส่วนลึกอยู่ตลอดเวลา

จะเขียนเล่าเรื่องเบตง ที่เขา ฆูรุงสิรีปัส ทั้งๆที่ตอนนี้ข้าก็เขียนเล่าเรื่องนี้อยู่

แต่จะให้เขียนเล่าเรื่องที่เบตง มันดันขี้เกียจ มันอยากอยู่เฉยๆ

ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะ ตลอดเวลาเรามันจะทวนกระแสใจอยู่เสมอ

การทวนกระแสใจ ทำให้การใหลไปตามกระแสใจมันเกิดภาวะกดดัน

เมื่อมีโอกาส มันก็เลยทะลักกระแสสัญญาของมันออกมา

เราอยากทำสิ่งนี้ๆ ด้วยความขยันขันแข็ง ใจมันส่งกระเฉยและเป็นสมาธิออกมาต้านซะ

ถ้านั่งสมาธิ หรือทำอย่างอื่นซะนี่ ใจมันพอไปได้มันไม่ต้าน

แต่ถ้าเอาเรื่องที่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำ ใจมันไม่เอา มันออกลูกเฉยซะเลย

วิธีแก้อาการเหล่านี้ โน่น ออกไปแบกปูน ขึ้นเขา ดันดิน เอาให้มันเหนื่อยหน่ายไปอีกทาง

พอเหน็ดเหนื่อยมากๆ มันก็จะอยากกลับมาทำในส่วนที่เราค้างคา

งานเขียนงานเล่างานเทศนานี่ มันอยู่ฝ่ายสมาธิ

สมาธินี่มันเป็นฝ่ายขี้เกียจ เราต้องเอาวิริยะเข้าไปเจือจาง

พอมันเป็นกลางจึงขับเคลื่อนมันไปด้วยสติ นี่..จึงพอจะมีกำลัง

คนเรานั้น บางครั้งมันก็เป็นเช่นนี้แหละ

สมาธิมากไปมันก็ขี้เกียจ วิริยะมากไปมันก็ฟุ้งซ่าน

ศรัทธามากไปมันก็งมงาย ปัญญามากไปมันก็สงสัย

ความพอดีแห่งธรรมทั้งหลายนี่ หากไม่สมดุลย์ ใจมันก็จะโต่งดิ่งไปข้างแหละ

เช้านี้ ออกจากสมาธิมานั่งเขียนคุยเล่นๆ เป็นอีกวันที่ใจสงบจนไม่อยากส่งออกไปไหน

บางคนดูว่าการมีสมาธิเป็นเรื่องดี

แต่รู้ไหม สมาธิแนบแน่นเช่นนี้บางทีมันก็ขวางมรรผล

ทุกอย่างในโลกมีสองด้าน ปล่อยด้านที่มันเป็นเราออกไปซะบ้าง

อะไรที่มีตนเข้าไปเสวยเข้าไปเป็นเจ้าของ เข้าไปถือ

สิ่งนั้นทั้งหลายเป็นสมมุติ ไม่ใช่ธรรม

แต่สิ่งสำคัญของชีวิตก็คือ เราต้องอยู่ไปกับสมมุติที่ไม่ใช่ธรรมนั้นๆ

เราต่างแสวงหาธรรม แต่สิ่งใดที่แสวงหา สิ่งนั้นล้วนเป็นอัตตา ที่เป็นสมมุติทั้งสิ้น

และธรรมทั้งหลาย ก็เสือกดันอยู่ในสมมุตินั้น

ปราชญ์ผู้เข้าใจธรรม ย่อมเข้าใจในธรรมทั้งหลายที่ต่างเป็นสมมุตินั้น

ท่านเข้าใจสมมุติ ท่านจึงออกมาจากสมมุติธรรมทั้งหลายทั้งๆที่ผู้คนต่างก็แสวงหา

หวังว่า พรุ่งนี้ข้าคงจะได้เล่าเรื่องบนยอดเขา ฆูรุงสิริปัสนะ

เช้านี้หวัดดี

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 20 มิถุนายน 2560