สาถก…เหตุแห่งอวิชชา

สาถก…เหตุแห่งอวิชชา

721
0
แบ่งปัน

วันนี้ลงเรื่อง เหตุแห่งอวิชชาในปัจจุบัน ที่มีรูป

สาถก...เหตุแห่งอวิชชาพรุ่งนี้ ลงเรื่องเหตุแห่งอวิชชา ที่เป็นจุดเริ่มต้น ที่ได้โม้ไปเมื่อวานก่อน

อวิชชาที่เป็นจุดเริ่มต้นนี้ เป็นวิปัสสนาญาณ อาศัยปัญญาตามตรึกตรอง ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนแห่งจิต ตามครรลองแนวทาง ที่พระพุทธองค์ชี้ นั่นก็คือ หลักปฏิจจสมุปบาท

การที่จะเข้าถึงปฏิจจสมุปบาท อย่างเราๆ ที่ท่องๆ เอา มันเบบี๋ สิ้นดี มันเข้าถึงความจริงที่เป็นเนื้อเยื่อแก่นธรรม ไม่ได้เลย

เพราะหัวข้อแห่งปฏิจสมุปบาท ต้องอาศัย วิปัสสนาญาณแห่งกาล ที่ประกอบด้วยสติและปัญญาญาณ เข้าไปแยกย่อยละเอียดยิบ จิตจึงจะเห็นแจ้ง ถึงเหตุแห่งอวิชชา

เป็นช่องทางหนึ่งในการเจริญวิปัสสนาญาณทางปัญญา จนประจักษ์แจ้งแทงใจ กลายเป็นปัญญา วิมุตติ คือเจริญจิตตามหลัก อนุโลม ปฏิโลม แยกย่อยไปตามสภาวะธรรม จนแทงตรงเข้าไปสู่ตัว อวิชชา

คำว่าตัว อวิชชา ในแต่ละคน มันเข้าไปถึงและตีจนละเอียดได้ ไม่เหมือนกัน แล้วแต่กำลังทางปัญญา บารมี และจริตที่ได้สะสมมา คนเราจึงประมาทใจต่อกัน ว่าให้เหมือนกันนี้ ไม่ได้

ความรู้แห่งธรรมทั้งหลาย แม้มันจะเข้าใจ และสว่างโล่ง ทั้งสามโลกแล้วก็ตาม ได้ทั้งบุพเพได้ทั้งเจโต ก็ใช่ว่า จิตมันจะประกาศได้ว่า

มันสิ้นสงสัย เป็นผู้บรรลุแล้ว ซึ่งธรรมทั้งมวล บางท่านก็ไม่ใช่ สิ้นกายไป ก็ยังค้างภพจิตอยู่อีก ถ้าไม่เข้าถึงความเป็นเหตุแห่ง อวิชชา

หากว่ากันตามตำรา เหตุแห่งอวิชชา ก็คือจิตสังขาร

แต่เหตุที่กล่าวว่า เหตุแห่งอวิชชาที่เป็นจิตสังขารนี้ มันเป็นวัฏฏะวงล้อ ที่อวิชชามันขับเคลื่อนไปแล้ว มันมีกาลเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เป็นวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาทไปแล้ว

เราจึงออกจากวงจรที่หาต้นไม่เจอ หาปลายไม่พบ ในวงล้อแห่งนี้ เพราะมันเป็นวัฏฏะแห่งนิยาม ปฏิจจสมุปบาท

ที่สำคัญ ปฏิจสมุปบาท เป็นอาการหนึ่งของ อวิชชา เราจะหาอาการของอวิชชา เพื่อไปตีอวิชชา ย่อมไม่เจอ เพราะมันหมุนวนอยู่ในวัฏฏะ เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง เราย่อมหาทางพายออกจากอ่างไม่ได้ มันวนอยู่อย่างนั้น

อวิชชาก็เช่นกัน เราหาเหตุอย่างไร ก็หาไม่เจอ เพราะพระพุทธองค์ทรงให้เบื้องต้นไว้ตรง อวิชชา และส่วนปลายสุด คือ ชาติ ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย

ทีนี่ ถ้าว่ากันตามเหตุปัจจัยในกฏของปฏิจจสมุปบาท มันก็เลยกลายเป็นเหตุซ้อนเหตุ วนอยู่ในเหตุและผล ที่เป็นสมมุติทั้งสิ้น

มันเป็นสมมุติซ้อนสมมุติ จนยากจะแกะออกมา สางออกมา ให้มันทะลุทะลวงรู้แจ้งในสมมุติเหล่านี้ เราตีสมมุติไม่ออก มันจึงเป็นวิมุติไม่ได้ซะที

เพราะมีเราเป็นเจ้าของสมมุตินั้นเสมอ

หลวงตามหาบัว ในพรรษาที่ 16 ท่านติดตรงตัวสมมุตินี้ ทั้งๆ ที่รู้แจ้งแทงใจหมดแล้ว แต่ใจมันไม่แจ้งในสมมุติที่เป็นเจ้าของ เรียกว่าต่อมรู้เกิดที่ไหนตรงไหน ตรงนั่นแล เรียกว่า ภพ

ภพตัวนี้ เป็นแดนเกิดแดนกำเนิด ให้อะไรต่ออะไรมันออกมามากมาย ภพตัวนี้ มันโดนต้อนมาจนเหลือภพสุดท้าย คือภพจิต

ที่สุด ท่านก็ตีภพแตก จิตเข้าถึงความเป็น ตถาตา สรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนสมมุติ สมมุตินี้มีเหตุคือ อวิชชา และอวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

นี่..เมื่อรู้สมมุติก็กลายเป็นวิมุติจิต โลกธาตุก็สะเทือนหวั่นไหว เพราะใจมันยอมลงอย่างหาที่ค้านไม่ได้

ข้าเองได้เคยอ่านข้อความที่ท่านแสดง มันเป็นธรรมของผู้หมดจรดแห่งความสิ้นสงสัย ในตัวอวิชชา

นี่..เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่นำธรรมท่านมาหล่อเลี้ยงใจได้ เพราะเป็นธรรมที่ประจักษ์แจ้งแทงใจ นำชนทั้งหลายพ้นกองทุกข์ได้อย่างไม่บิดเบือน

แต่ข้อธรรมแห่งอวิชชาที่เป็นสมมุตินี้ สำหรับบางท่าน มันไม่อาจทำใจให้มันลงสู่ธรรมได้ เพราะมันยังค้างภพอีกก็มี

มนุษย์เหล่านี้ ต้องเจริญ วิปัสสนาญาณ หาเหตุแห่งอวิชชา ให้ได้ หากเหตุไม่ประจักษ์ใจ ใจมันก็จะวนอยู่กับผลที่แจ้งสว่างโล่งอยู่เช่นนั้น มันไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องยืนยันใจ

ว่าสิ่งที่รู้ในธรรมทั้งหลาย มันจริงหรือไม่จริง มันเค้นปัญญาเพื่อต้อนอวิชชาให้จนมุม และรู้เหตุของมันไม่เจอ เราเจอแต่ตัวอวิชชา ที่เป็นจิตและตัวเราทั้งแท่ง ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่ใจก็ไม่ลง เพราะขาดเหตุปัจจัยมายืนยัน

ธรรมนี้ มันลึกหลายๆ เกินปัญญาหมู่ชนทั้งหลาย จึงโม้มาให้ฟังยามเย็น แต่พรุ่งนี้ จะเอาเหตุแห่งอวิชชา ในมูลเหตุเบื้องต้น ที่จิตและใจมันลง ให้เราฟังกัน

ฟังกันหนุกๆ อย่าไปรู้ตามเลย มันเป็นแค่ความรู้สำหรับพวกเรา

แต่เพียงรู้ไว้บ้างก็ดี เผื่อวันใดอยากพ้นใจไปเสียจากทุกข์ และความรู้ธรรมแตกฉาน วันนั้น ก็จะประจักษ์แจ้งแทงใจ ว่าธรรมทั้งหลาย มันเป็นของมันเช่นนั่นเอง

แต่หากยังซุ่มอยู่กับการ เย๊ดเช้าเย๊ดเย็น ขอบอก…..รู้ไปก็เท่านั้นเอง มันไม่เป็น ของมันเช่นนั้นเองไปได้หรอก ฮ่าๆๆ เย็นนี้..หวัดดี..!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เหตุแห่งอวิชชา …..เหตุปัจจุบันที่มีรูป ( ท่อน 4 ของการถามตอบเหตุแห่งอวิชชา ) ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง