เหตุแห่งอวิชชา…..เหตุอดีตที่เริ่มต้น ก่อนมาเป็นรูป ท่อนที่5ของเรื่องเหตุแห่งอวิชชา

เหตุแห่งอวิชชา…..เหตุอดีตที่เริ่มต้น ก่อนมาเป็นรูป ท่อนที่5ของเรื่องเหตุแห่งอวิชชา

1304
0
แบ่งปัน

ขอขอบคุณและชมเชยทุกท่านนะครับ ที่ให้ความเห็น

เหตุแห่งอวิชชา.....เหตุอดีตที่เริ่มต้น ก่อนมาเป็นรูป ท่อนที่5ของเรื่องเหตุแห่งอวิชชาการได้คิดและกล่าวตอบธรรม มันจะช่วยให้เรามีภาชนะ ที่กว้างขึ้น

เรื่องอวิชชานี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินธรรมชาติคนทั้งหลาย ที่จะตามรู้

แต่ก็ไม่ใช่ที่จะเหลือวิสัยที่จะรู้ได้

เหตุแห่งอวิชชา ทั้งที่เริ่ม ก่อมาเป็นอวิชชา จนปรุงแต่งมาอยู่ในสมมุติแห่งกาล เหตุคือ ผัสสะ

แต่การผัสสะนี้ เริ่มเหตุ เป็นเรื่องของวิปัสสนาญาณ เราตามเข้าไปรู้ยาก เรามาเห็นในภาวะกาลปัจจุบันในความเป็นเราเขาง่ายกว่า

เพราะว่า มันมีเหตุแห่งการเกิด ตามครรลองเดียวกัน ที่จริงได้อธิบายไปบ้างแล้ว แต่การฟังซ๊ำๆ เราจะแตกฉานขึ้นมาอย่างมากมายเลยทีเดียว

หากจะกล่าว กันในวงจรปฏิจจสมุปบาทตามที่ มีนานำมาแสดง จะเห็นว่า อวิชชาเป็นที่มาแห่งจิตสังขาร นี่แสดงให้เห็นอย่างง่ายๆ ตามพุทธโอวาทวิสัยภูมิเลยว่า อวิชชา เกิดมาก่อนจิต

คำว่าจิตสังขาร หมายความว่า การปรุงแต่ง ที่อาศัยเหตุจากความไม่รู้ คือ อวิชชาเป็นเหตุ เรียกว่า จิตสังขาร

คำว่าสังขารนี้ หมายถึง การปรุงแต่ง การรวมหลายๆ อย่างมาประกอบกัน นี่..เรียกว่าสังขาร

ความหมายมันคนละตัวกับ กายสังขาร ที่เราเรียกๆ กัน ว่าเป็นสังขาร

ที่ว่าสังขารไม่เที่ยงนั้น มันก็หลากความหมาย แต่เรามุ่งหมายคือกายนี้ หรือลึกไปกว่านั้นก็คือ สรรพสิ่งทั้งหลาย ที่รวมๆ กันมาเป็นโลกนี้ มันไม่เที่ยง คือมีความเสื่อมเป็นธรรมดา

นี่..ความหมายของสังขาร เราต้องชี้กาลลงไปด้วย ว่าจะพูดถึงความหมายและกาลใด ไม่งั้นผู้พูดออกลูกมั่วตลอด พูดธรรมแบบหยาบๆ เราก็เลยไม่เข้าใจกันซักที

สังขารตัวนี้ ท่านให้นิยามแห่งการปรุงแต่ง ของความไม่รู้ เรียกว่า จิตสังขาร

คำว่า “จิต” คำนี้ ขอแปลตามภาษาป่าๆ เลยก็คือ ความไม่รู้มารวมๆ กันเป็นเจตนา นี่..น่าจะตรงมากกว่า เรียกว่า การรวมกลุ่มความโง่อันหลายๆ มาประชุมกัน นี่แหละ จิต

ที่มันโง่หลายๆ เพราะเหตุมันมาจาก อวิชชา และอวิชชานี้ เมื่อยังไม่มีจิตสังขารมาเป็นผล มันมีเหตุเกิดมาจาก ผัสสะ

ใครเป็นผู้ผัสสะ จึงเกิดอวิชชา ในเมื่อแรกเริ่ม ต้นเหตุแห่งวิญญาณและรูปยังไม่ก่อ จะเอาอะไรมาผัสสะ นี่..เรางงตายเลย เพราะเกินวิสัยเราที่จะไปตามรู้ แต่ถ้าผู้ฝึก และติดขัดในขั้น อรหัตมรรค กล่าวแค่คำเดียว โป๊ะเช๊ะเลย เข้าใจทันที

การผัสสะนี้ เป็นวิปัสนาญาณ ที่อาศัยการสาวผลไปหาเหตุในหลักของ ปฏิจสมุปบาท อย่างที่เขาเขียนๆ มานั้นแหละ ง่ายสุด เข้าใจอย่างเปลือกๆ ไว้ก่อน จะง่ายสุด ไม่ต้องจริงจัง

ธรรมชาติแห่งกฏปฏิจจสมุปบาท คือธรรมที่อาศัยกันเกิด เพราะฉะนั้น จุดเริ่มมันต้องมี ถ้าไม่มี มันก็ผิดหลักธรรม คือเหตุ ไปสู่ผล

จิตสังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ จึงต้องถามว่า แล้วเหตุแห่งอวิชชาคืออะไร ในเมื่อความหมายนั้น ที่เรียนรู้กันมันเป็นวัฏฏะ เวียนกันเป็นวงกลม มันวนอยู่อย่างนั้น

อาการวนเกิด วนดับนี่ เหตุเพราะมันเกิดมาแล้ว กาลแห่ง อดีต อนาคต มันก็เลยมี ทีนี้ เราก็ออกจากกาลไม่ได้ เพราะสัญญาเรา มันไหลไปตามกาลแห่งเวลา

การหาจุดเริ่มต้น มันก็ต้องมีอยู่ในวงล้อนี่แหละ เป็นเพียงแต่เรา ไม่เข้าใจกาล และกำลังสติปัญญา มันหมุนรอบตามกาล ไม่ทันและไม่พอที่จะเห็น เรียกว่า อ่อนกำลังของสติและปัญญาญาณ

เหตุแห่ง จิต คือ อวิชชา อวิชชานี้มาจากไหน มันจึงเป็นอวิชชาขึ้นมาได้ อยู่ๆ มันจะโผล่ขึ้นมาเป็นอวิชชา มันไม่มี

อวิชชาตัวนี้ มีได้เมื่อแรกเริ่ม นั้นก็คือ ผัสสะ แล้วอะไร ทำให้เกิดผัสสะ นี่ ตัวนี้ เหนือลึกขึ้นไปอีก

ตัวที่ทำให้เกิดผัสสะก็คือ ธรรมชาติแห่ง พลังงานและสสาร ที่แยกออกมาเป็นธาตุ เรียกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธาตุธรรมชาติของพลังงาน และสสาร

และอะไรเป็นผู้โดน พลังงานและสสาร ที่เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ผัสสะ

ผู้ที่โดนผัสสะ ก็คือ ธรรมธาตุ หรือที่เราเรียกกันว่า ธาตุรู้ ธรรมธาตุเป็นธาตุในธรรมชาติ ที่อาศัยอยู่ทั่วทั้งจักรวาล นอกเหนือไปจาก ธรรมชาติแห่ง พลังงาน และสสาร ที่เป็น ดินน้ำลมไฟ

ธรรมธาตุ ได้ผัสสะกับพลังงานและสะสาร เพราะความเป็นธาตุรู้ ยังไม่รู้ว่า อะไรผัสสะ ความไม่รู้นี้ คือตัว อวิชชา

ที่ไม่รู้ เพราะไม่มีอะไรมายืนยันในผัสสะ ที่เกิดตลอดเวลานั้น

ผัสสะมากขึ้น จึงเกิดการปรุงแต่งเป็นเจตนา ตามธรรมชาติของธาตุรู้ นี่..อธิบายให้พอเห็น

เจตนานี้ เมื่อผัสสะซ้ำๆ จะเกิดอวิชชาที่หนาแน่นขึ้นเรียกว่า เวทนา

ในเวทนา ที่เกิดซ้ำๆ มันมีกาล ก่อนและหลัง เวทนา เกิดการเปรียบเทียบ เรียกว่า สัญญา

ในสัญญา มีการปรุงแต่งไขว้สัญญากัน เรียกว่า สังขาร

ในสังขาร เมื่อถึงเกิดมีกาลเวียนมาครบ เรียกว่า วิญญาณ

วิวัฒนาการแห่งจิตสังขาร มันปรุงมาประมาณนี้

เมื่อรวบรวมมากๆ เข้า จึงเกิดการขับเคลื่อน เรียกว่า วิญญาณ

วิญญาณนี้ อาศัยการปรุงแต่งแห่งจิตสังขาร วิวัฒนาการมาเป็น รูป

อาศัยกาลในการก่อกำเนิด และวิญญาณอาศัยรูป ในการผัสสะ เพื่อใส่ เจตนา

เจตนาที่อาศัยผัสสะผ่านรูปแล้วนี่แหละ เรียกว่า เจตสิก ที่ท่าน จริงฤาถามมา

ในที่นี้ เราจะกล่าวถึงรูปที่เป็นเรา คือได้รับการบ่มเกิดดับมาอันยาวนาน เป็นวิวัฒนาการ ทางเครื่องมือแห่งวิญญาณสูงสุด เท่าที่มี ในจักรวาลนี้ คือมนุษย์

วิญญาณได้วิวัฒนาการในการสร้างรูปเริ่มตั้งแต่เซลมาเลยทีเดียว จาก หนึ่งเซล ที่เป็นหนึ่งหน่วยพันธุกรรม ระดับจุลภาค จนยิ่งใหญ่เป็นมหภาค คือรูป ที่เป็นเรา

ในรูปนี้ มีช่องต่อเพื่อรับรู้การผัสสะ ในที่นี้คือ ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ ช่องต่อเหล่านี้ ทำหน้าที่ต่างกัน ตา ทำหน้าที่ผัสสะรูป คือแสง

หูมีหน้าที่ผัสสะเสียง ลิ้นมีหน้าที่ผัสสะรส อะไรอย่างนี้

มันทำหน้าที่เป็นคู่ๆ กัน เรียกว่า สฬายตนะ เพราะช่องต่อที่ทำหน้าที่คู่กันเช่นนี้ เมื่อผัสสะ มันจึงเกิด เวทนา

เวทนาในรูปนี่ มันเกิดขึ้นมาแล้ว หากเราย้อนกลับไปแรกเริ่ม รูปที่เป็นผลมาจาก อวิชชา ปรุงแต่งจนเป็นจิตสังขารและวิญญาณ สิ่งเหล่านี้สร้างรูปขึ้นมา เพื่อใช้อาศัยในการผัสสะ

รูปนี้ เปรียบเหมือน ธรรมธาตุ ที่ปรุงแต่งออกมาเป็นรูปแล้ว เรียกว่า มีวิญญาณในรูป

ในรูปนี้ มีกระบวนการแห่งจิตสังขาร ที่วิวัฒนาการ มาทำหน้าที่ตรึกตรองพิจารณาเพื่อรู้ ผ่านช่องทางแห่งอายตนะ คือ ตา หู ลิ้นฯ เมื่อผัสสะ จึงเกิดเวทนา

เวทนาตัวแรก จึงเป็น อวิชชา คือ ไม่รู้ว่าอะไรมาผัสสะ

ผัสสะทางตา จะมองเห็นรูป เห็นปุ๊บ เรียกว่าผัสสะปุ๊บ ไ ม่รู้หรอกว่ารูปอะไร เสียงอะไร กลิ่นอะไร รสอะไร กายกระทบอะไร หรือใจเกิดอะไร

ตัวนี้ เมื่อผัสสะ อวิชชาเกิดก่อน คือไม่รู้อะไร

เมื่ออวิชชาเกิด กระบวนการปรุงแต่งก็ทำงาน คือ เวทนา รู้ว่าผัสสะทางช่องไหน สัญญา ที่มีก็เรียบเรียง

การเฟ้นในสัญญาเกิดการปรุงแต่ง จากสัญญาอันหลากหลาย

เมื่อมีแบบในสัญญายืนยัน ตัวยืนยันนี้ เรียกว่า วิญญาณ

วิญญาณก็ขับเคลื่อน ไปประกาศแจ้งต่อจิต ว่าที่ผัสสะนี้ คืออะไร เรียกว่า วิญญาณรู้

ตัวรู้ในผัสสะนี้ เรียกว่า เวทนา

เวทนาตัวนี้ เป็นเวทนาที่เราเห็นแล้วรู้เลย ว่า อะไรเป็นอะไร เพราะวิญญาณมันใส่สมมุติบัญญัติเรียบร้อยแล้ว และเราทั้งหลายก็หลงในสมมุตินี้ จนเกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติกันต่อไป

นี่..เรียงร้อยกันตามภาษาบ้านๆ ว่ามันมีแนวทางมาประมาณนี้ แต่ละเอียดแยกย่อยออกไปมากกว่านี้

เราจึงพอหาเหตุแห่งอวิชชา และยืนยันได้ว่า ที่จริงแล้ว ความไม่รู้คืออวิชชานี้ มีผัสสะเป็นเหตุ

และกระบวนการปรุงแต่งในอาการเมื่อเริ่มผัสสะ เรียกว่า เจตสิก

เจตสิกก็คือ เจตนาแห่งจิต ที่เกิดการปรุงแต่งในนิยามแห่งนามสังขาร

เมื่อปรุงแต่งแล้ว รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่รู้เป็นวิญญาณ เรียกว่า เวทนา

เที่ยงนี้โม้มา หลายๆ แล้ว โอเคนะ ขอความสุขสวัสดีและเจริญในธรรมพึงบังเกิดกับทุกๆ คน

ขอสวัสดีจ้า..

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ถามตอบ…เรื่องเหตุแห่งอวิชา 1 ณ วันที่ 21 กรกฏาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง