ขั้นอารมณ์…. พระอริยะ

ขั้นอารมณ์…. พระอริยะ

1111
0
แบ่งปัน

เป็นเรื่องถามตอบในเฟส..ยกขึ้นมาให้ฟังกัน

มันคงไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจกันหรอก Yadnamfa Nakee

จากคำถาม …

อ่านคอมเม้นท์ของคุณ สุเทพ ขำสุวรรณ ตอนท้ายที่ว่า ..อารมณ์พระอนาคามี ฯ แบบนี้แสดงว่า ก็น่าจะมีอารมณ์โสดาบัน อารมณ์สกิทาคามี ด้วยเช่นกัน ใช่มั้ยค่ะ

เคยถามพระเรื่อง อารมณ์โสดาบัน ว่าคืออะไร ท่านตอบว่า มีแต่อารมณ์พระนิพพาน เท่านั้น

กราบหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ และผู้ที่มีอารมณ์แต่ละขั้น หมายถึงบรรลุธรรมขั้นนั้นๆ ใช่หรือเปล่า เจ้าค่ะ…

สุเทพนั่น เขาแค่แสดงความเห็นในมุมมองของสุเทพ น่ะหนู มุมมองทางธรรมนี้มันมีหลากหลาย รู้ไว้ได้ทุกมุม

แต่อย่ามั่นหมาย ว่าใช่ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว มันมีกาล มีเหตุปัจจัยประกอบเยอะ

ท่านที่มีอารมณ์ อนาคามีนี้ มันตัดเครื่องร้อยรัด ในอารมณ์ โสดาบัน กับสกิทาคามีอยู่แล้ว

คำว่า โสดาบันและสกิทาคามีนี้ เป็นอารมณ์ชาวบ้านชั้นดี ที่อยู่ในขั้นศีล

ส่วนอนาคามี เป็นอารมณ์ในขั้น สมาธิ

ทั้งสามขั้นนี้ มันไม่มีป้ายบอกอาณาเขตซะด้วย มันเป็นเรื่องของอารมณ์จิต

แต่ทั้งสามขั้น ต่างก็เป็นอาการแห่ง อวิชชาทั้งนั้น ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม ที่จะสิ้นไปในนิพพานได้ ในอัตภาพ พูดเช่นนี้คงงงอีก และจะคิดว่าบิดเบือนธรรม เพราะหากไม่เป็นอาการของอวิชา

ทุกขั้นที่ไม่ใช่พระอรหันต์เจ้า ก็ต้องได้นิพพานหมด แต่นี่ยังต้องกลับมาเกิด และยังค้างภพ อยู่ภพใดภพหนึ่ง หลุดพ้นไม่ได้ อวิชชามันเหนี่ยวรั้งไว้

พระโสดาบัน มีดวงตาเห็นธรรมตรงตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่ง เกิดดับเป็นธรรมดา แต่ยังไม่มีปัญญารู้อารมณ์จิต

เรียกว่า เป็นมนุษย์ขั้นศีล เป็นผู้มีเหตุมีผล มีความละอายชั่วกลัวบาป ไม่หลงงมงายกับกับอะไร ที่โลกเขายึดๆ  กัน โดยไม่มีเหตุผล

ส่วนสกิทาคามี ก็ใช้เป็นชื่อเรียก กับผู้ที่มีสติที่ละเอียดขึ้น ในการสำรวมอินทรีย์

มีความละเอียดแห่งจิตที่ควบคุมอารมณ์ ภายในได้หนาแน่น และละเอียดกว่า ระดับโสดาบัน

นี่..เรียกว่า เป็นมนุษยขั้นศีลแล้ว มีความไม่ตกต่ำไปสู่ ความเป็น สัตว์ อสูรกาย เปรต นรก

เรียกว่า เป็นมนุษย์ ที่ปิดอบายภูมิโดยเด็ดขาด เป็นพวกมนุษยธรรม กลับมาเกิดไม่เกิน 7 ครั้ง 3 ครั้ง 1 ครั้ง ตามภูมิแห่งปัญญา

ส่วนอนาคามี เป็น อารมณ์จิตขั้น สมาธิ มีภูมิจิตแน่วแน่ ตั้งมั่น นอกจากจะปลดเครื่องร้อยรัดจิต ได้สามประการแล้ว

ยังมีกำลัง ตั้งมั่นในการข่ม ตัณหาราคะ ที่เกิดจากผัสสะ ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย และอารมณ์ใจ ได้อย่างเป็นผู้มีกำลัง

มีกำลังดับโทสะ ดับอารมณ์ต่างๆได้อย่างสงบ เป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมในสักกายทิฏฐิที่ว่า นอกจากกายนี้จะเกิดดับเป็นธรรมดาแล้ว

มันยังเต็มไปด้วย ความสกปรกโสโครก ที่ไม่น่าปรารถนาลูบไล้ เสพสมเพื่อความสุขสมอร่อยเหาะตรงไหนเลย

อารมณ์จิตมันผัสสะและดับ รวมไปถึงรูป รส กลิ่น เสียง กายผัสสะ และอารมณ์ใจ ด้วยเหตุแห่งความกล้าแข็ง ของกำลังแห่งสมาธิจิต ที่มีสติ

คำว่าขั้นสมาธินี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ต้องทำกรรมฐาน ทางด้านอานาปาน หรือหลับตา

แต่เป็นภูมิปัญญาจิต ที่มีดวงตาเห็นความจริง ว่าสรรพสิ่ง เกิดดับเป็นธรรมดา

เห็นความเป็นจริงที่น่าสะอิดสะเอียน แห่งรูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ และอารมณ์ ว่าเป็นเครื่องเศร้าหมอง ที่ทำให้ยึด และเกิดความทุกข์

จึงอาศัยสังขาร เพื่อความดับ ในทุกสิ่ง ที่ผัสสะ ไม่ให้เกิดความยินดี ขึ้นมาในจิตใจ

อารมณ์จิตเหล่านี้ เป็นอารมณ์จิต ที่ยังขาดปัญญาขั้นสูง เรียกว่า ยังติดเครื่องร้อยรัด ในอารมณ์ ที่เป็น มานะภายใน คือเข้าใจ ว่านี่..ใช่

ไม่เข้าใจแจ่มชัด เรื่อง รูป และสิ่งที่ไม่ใช่รูป ที่เกิดดับ และก่อขึ้นมา จากภายใน

ยังมีความฟุ้งไปกับอารมณ์ ที่ตนเป็น และหลงกับความไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นเจ้าของความคิดทั้งหลายอยู่

นี่เป็นอารมณ์ อนาคามี มีรายละเอียด ตั้งแต่ อนาคามีผลไปจนถึง อรหัตมรรค

เป็นมนุษยที่เหลืออีกเพียงภพเดียว คือภพจิต เป็นผู้ที่ไม่กลับมาก่อรวมรูป ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ทุกทางกายอีก

ท่านเหล่านี้ พลังงานจิต จะไปสถิตย์ อยู่อีก ภพภูมิเดียว ภพภูมิใด ภพภูมืหนึ่ง

เมื่อกำลังแห่งปัญญา เข้าถึงที่สุด ก็จะนิพพานในภพภูมินั้นๆ ตามบารมีที่สร้างสมมา ในชั้น เทวาภูมิ

ส่วนภูมิชั้นอรหันต์ ไม่ได้ถามมา จึงขี้เกียจอธิบาย

ส่วนคำว่า เรื่องราคะ ที่คุณ สุขอิสระ ใต้ร่มธรรม ฟังมาจากผู้รู้ว่า

พระอรหันต์ เป็นผู้หมดราคะโดยสิ้นเชิงจริงๆ  นั้น มันจริงส่วนหนึ่ง และไม่จริงอีกส่วนหนึ่ง…!!

ราคะ คือ ความอยาก ในกาม ในภวตัณหา และ วิภวตัณหา ยังคงมีหล่อเลี้ยงสังขารตามธรรมชาติอยู่ ท่านเข้าใจและรู้จักมัน ไม่ใช่ท่านสิ้นมันไป

อาการเหล่านี้ ไม่มีท่านไหนเป็นเจ้าของได้ ที่จะบอกว่า สิ้นหรือไม่สิ้น เพราะมันเป็นอาการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ของจิตสังขาร เพื่อการกำเนิดรูป

และรูปนี้ ผลมันก็แสดงผลของมันอยู่ เมื่อรูปยังไม่สิ้น โปรแกรมเหล่านี้ มันก็ยังแสดงตัวของมันอยู่เช่นนั้น แต่มันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรต่อใจเจ้าของได้

มันก็มีของมัน เป็นเช่นนั้นเอง ห้ามหรือตัดมันออกจากโปรแกรม ปรุงแต่งทางสังขารไม่ได้

แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถมาย้อมใจให้ พระอรหันต์เจ้า ให้หลงไหล และตกลงไปในกระแสได้ เช่นนี้ ถึงจะถูก..

เพราะสังขาร ตราบใดยังไม่สิ้น สัญญาโปรแกรมจิต ที่บันทึกไว้ ย่อมมี ไม่ได้เลือนหายไปไหน หากอธิบาย ก็โม้ยาวอีก

วันนี้ จึงขอสวัสดี ยามเช้าแต่เพียงแค่นี้..สวัสดี