ได้ดี…….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสาม

ได้ดี…….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสาม

1655
0
แบ่งปัน

หวัดดี..น้องๆ ทั้งหลาย

ได้ดี.......ต้องฝ่าความตาย ท่อนสามก๊อก



หวัดดีอีกครั้ง ถึงตรงไหนแล้ว…

เสียงก้องยาวๆ ทำให้ขนหัวลุกตั้งอีกครั้ง ไม่รอดก็ไม่รอดซิวะ บุญกุศลทำมาเยอะแยะ ตายตอนนี้ ข้าก็มีวิมานอยู่ชั้นพรหม ข้าไปดูมาแล้ว ไม่กลัวตายโว๊ย ลุยโลด..

โอเค… เอ้าๆๆๆ งั้นตั้งใจ ฟังนิทานต่อ เอ้า…ปูเสื่อจองแถวหน้า ผู้เฒ่าจะโม้ต่อ…แอ่นแอ้น..

มันมีเสียง ส่งมาทางโสตไกลๆ ว่า หากข้าไม่ไปตามทางที่เดิน ข้าจะไม่รอด เรื่องรอดไม่รอด

นี่ ข้าไม่สนอยู่แล้ว ข้าตายมาแล้ว สามครั้ง ครั้งนี้ถึงมีก็ไม่เห็นจะเป็นไร ที่มีชีวิตอยู่นี่ ก็เป็นกำไรอยู่แล้ว กูไม่กลัวโว้ยยย ตายไม่กลัว กลัวอยู่กับผีนู่น…

หน้าผามันชันไปหน่อย ข้าหาช่องไต่ลงอยู่นาน ตัดสินใจ เอาอีโต้ของพี่หรั่ง โยนลงไปก่อน หากรอดชีวิต เดี๋ยวจะลงไปหาคืนให้นะ

อีโต้ที่ข้าโยน มันหล่นหายลงไปแบบไร้เสียงกระทบพื้น โหยย นี่มัน ลึกขนาดเสียงหายไปเลยหรือ แต่ยังไงก็ต้องปีนลงไป ตกเป็นตก

นี่ถ้าหากพี่แกที่ส่งเสียงแว่วมา เกิดชะโงกคอลงมาแล้วเลียหน้าข้า ซักแพล็บ เสียงจ๊ากกกกก ข้าคงดังลั่นไปถึงเชียงใหม่ อย่าเชียวนะเออ.. ข้ากระโดดลงไปเลยนะเออ

ข้าไต่ลงมาเรื่อยๆ บางทีก็ไม่มีที่เกาะ ที่เหยียบที่ยืนก็ไม่มี คิดในใจว่า สงสัยงานนี้ กูจะไม่รอดซะแล้ว

แต่ภูมิใจหน่อย ถึงไม่รอด ก็ยังมีวิมานรองรับ นู่น..ชั้นพรหมนู่น โก้ไม่หยอก เบื่อๆ ที่จะอยู่เหมือนกัน

พอคิดได้ ก็เลยรูดๆๆๆๆ ลงมา ตกเป็นตก แต่มันไม่ยักกะตก เพียงแต่พื้นด้านล่างมันมองไม่เห็นเลย ลมก็แรง มือไม้ที่เหนี่ยวรั้งนานๆ มันก็ล้า

เสียงแว่วบอกมาว่า ขึ้นมาซิ เราจะช่วยๆๆๆๆ

ขอบใจเหอะ มีแต่เสียงไม่เห็นตัว ข้าไม่ไปหรอก ยอมตกไปตายดีกว่า

เสียง ดื้อ ระคนน้อยใจ แผ่วลงมา เสียงเหมือนว่า เราห่างไกลกันทุกทีๆๆๆ ข้าไต่ลงมาลึกทีเดียว

แต่ยังมองเห็นขอบฟ้า และทิวเขาที่ห่างไกลเบื้องล่างโน้น แต่ตรงพื้นที่จะลงตรงๆ ดิ่งลงไป มันมองไม่เห็น มันเหมือนหลุบเข้าไปในภูเขา

ข้าไต่ๆ ลงมา เห็นกอไผ่อยู่ตรงหน้าผา นึกได้ว่า เรามาตัดไม้เท้าให้หลวงปู่เขานี่ จึงไต่เหยียบๆ หินเข้าไปหา

ปรากฏว่า เป็นไม้ไผ่ขนาดกำลังดี มีรากงอโค้งสวยงาม ที่สำคัญ ลำปล้อง เขียวจัดจนเป็นสีดำ

เออ..วุ๊ย เขาบอกว่า จะให้ไม้ไผ่ดำเรา หรือว่าจะเป็นไม้ไผ่อันนี้ จึงเอามือเตะคิ้วตะเบ๊ะ แหงนหน้าขึ้นไป บอกว่าขอบใจ

แต่คงไม่มีปัญญาเอา เพราะ มีดข้าได้โยนลงไปแล้ว และนี่มันหน้าผา

แต่เห็นแล้ว มันช่างน่าเสียดาย จึงเอามือข้างหนึ่งเหนี่ยวหินไว้ อีกข้างหนึ่งจับต้นไม้ไผ่ แล้วดึง..

ปรากฏว่า มันถอนขึ้นมาทั้งกอ ฮ่าๆๆๆ ข้าดึงพรวดเดียว มันขึ้นมาทั้งกอเลย

จึงหาที่ยืนเหยียบ และแยกไม้ไผ่ ออกเป็นต้นๆ ข้าก็สามารถดึงแยกออกมาเป็นต้นๆ ได้อีก

พูดอย่างงี้ คงหาว่าโม้โคตรๆ แต่ข้าแยกจริงๆ และมันก็แยกออกมาเป็นต้นๆ ด้วย

ข้าเลือกออกมาสองต้น แล้วอธิฐานจิต โยนทิ้งลงไปข้างล่าง ที่ละต้น บอกว่า หากมีวาสนาต่อกัน ไม่หล่นลงไปตายห่าซะก่อน เดี๋ยวจะลงไปเจอนะพวก รออยู่ข้างล่างนู้นนนนน ก่อนนะ

ส่วนต้นที่เหลือ ข้าบอกว่า ข้าขอปลูกคืน จึงเอาไปวางไว้ในหลุมที่หลุดออกมา เอาเท้าเหยียบๆ ดินตรงโคนพอแน่นๆ ไม้ไผ่ก็ทรงตัวอยู่แฮะ

จากนั้น ข้าก็ไต่ลงมา ไต่ลงมา ดูว่ามันนานและเหนื่อยเมื่อยมาก ที่สุด ข้าก็มองเห็นยอดไม้ที่ตีนเขา

โห.. ใจนี้อยากกระโดดลงไปจับยอดไม้ข้างล่างนั้น และโรยตัวลงพื้น แต่ใจมันไม่กล้า จึงได้แต่ค่อยๆ ไต่ลงมา

ที่สุด ข้าก็ถึงพื้นดิน แต่ก่อนถึงพื้นดินเล็กน้อย มือที่เหนี่ยวรั้งตัวลงไป ไปโดนงูตัวหนึ่งนอนขดแผ่พังพาน ตัวเท่าโคนแขนแน่ะ

ข้าน่ะ ไม่รู้หรอกว่าเป็นงู ในตอนแรก แต่พอเสียงขู่ฟู่ ถึงได้เงยขึ้นไปมอง ข้าเลยปล่อยมือ ทิ้งตัว หล่นลงพื้น โดยไม่ต้องค่อยๆ เหยียบลงมา เกือบโดนงูฉกอีก

เออ.. นี่ถ้าเจอกันซักครึ่งหน้าผา ป่านนี้ ข้าลงถึงพื้นนานแล้ว ไม่ต้องมัวไต่ให้เมื่อยเล่น

ดีนะที่ไม่ฉกมือข้าซักจึ๊ก ตัวขนาดซักขวดแม่โขง สงสัยเป็นจงอาง ดันมานอนรับลมเล่น ตรงทางข้าลงพอดี

เมื่อข้าลงมาถึงพื้นตรงหน้าผาสูง ข้าเงยหน้าขึ้นไป มองแล้วไม่น่าเชื่อว่า ข้าจะไต่ลงมาได้ แต่ผลมันแสดงอยู่ ว่าข้ากำลังแหงนคอมองดู คำถามอยู่ กับปัจจุบัน

เวลาเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว ข้ามองไม่ค่อยเห็นอะไรชัดนัก จึงรีบๆ หามีดอีโต้ของพี่หรั่งเขา

ที่สุดก็เจอ ไม้ไผ่ก็เจอ แต่มีอยู่ลำหนึ่ง ค้างอยู่บนต้นไม้อีก ก็ต้องค่อยๆ ปีนขึ้นไปเขย่าต้นไม้

จนไม้ไผ่ร่วงลงมา จึงเอามีดตัดความยาวเผื่อๆ ไว้หน่อย เป็นไม้เท้า สองอัน ภาระกิจข้าจบไปอย่างหนึ่งแล้ว

ที่เหลือ ตอนนี้จะไปทางไหน เพราะด้านหลังเป็นหน้าผา ซ้ายขวา เป็นเชิงเขาเลาะไปตามทางหน้าผา ด้านหน้า เป็นเนินชัน ต่ำลงไปในความมืดเบื้องล่าง

หากเลาะหน้าผา ดีไม่ดี เดี๋ยวได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาอีก เพราะตอนกลางวัน ขนาดไม่ถึงหน้าผา มันยังเหนี่ยว ขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนยอดเขาได้เลย

นี่มืดแล้ว ข้าคงหายเข้าไปในนรกนู่นเลย

ข้าไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น ค่อยๆ ไต่ลงไปยังความมืดเบื้องล่างดีกว่า ตอนนั้นมันมืดวูบลง ชนิดที่เรียกว่า มืดสนิท

มันมืดชนิด ที่เรียกว่า มองดูมือตัวเองไม่เห็น มองไปทางไหนก็มืด แม้แต่มองดูฟ้า มันก็มืด ไม่มีแสงสะท้อนให้มองเห็นว่า เบื้องบนนี้ เป็นท้องฟ้าเลย

ที่จริงมันโดนต้นไม้หนาทึบปิดบัง แต่อย่างน้อย มันก็น่าจะเห็นแสงรำไรบ้าง แต่นี่ ไม่เลย มันมีแต่ความมืด

ทางมันชันมากกว่า 45 องศา มันชันมาก จนเดินไม่ได้ ข้าจึงต้องนั่งยองๆ ค่อยๆ เอาไม้เท้าจิ้มๆ ค้ำๆ ลงไป

ขาที่ไต่หน้าผาลงมา มันก็ล้าเต็มทน แต่ยังไง ก็ต้อง ออกจากที่ตรงนี้ไปให้ได้ เพราะมันมีอะไรบางอย่าง มันกำลังจะเอาเราแน่

ความมืด ทำให้ยากต่อการคาดหมายได้ว่า จะเดินลงไปในเส้นทางไหน และอยู่ในทิศใด

ข้าค่อยๆ นั่งเอาตูด ไถพื้นไป ใช้ไม้เท้าแหย่ๆ ข้างหน้าดู บางช่วงมันเป็นพงหนาม มันกำลังจะทิ่มหน้าข้าอยู่แล้วดีที่มือไปโดนก่อน มันจึงทิ่มมือแทน

ข้าต้องค่อยๆ เอามือแหวกความมืดที่มีหนามนั้น เป็นช่อง พอเอาตัวผ่านออกไปได้

แต่ก็ไม่วาย โดนหนามเกี่ยว แทงคอใบหน้า และลำตัว จนเลือดออกซิบๆ เปียกเป็นน้ำเลย ไม่รู้เหงื่อรึน้ำ มันปนกันมั่ว ที่รู้ๆ มันแสบสุดๆ

แต่เพราะความมืด มันมองอะไรไม่เห็น จึงไม่สร้างอุปาทาน กับรอยแผลที่เกิดกับกาย

กว่าจะผ่านพงหนามมาได้ บางทีก็ไถหล่นกลิ้งขลุกๆๆๆ เป็นลูกขนุนลงไปเบื้องล่างโน่น มีดอีโต้กระจายหายไปไหนไม่รู้ ไม้เท้าก็หล่นหลุดมือ

ต้องค่อยๆ ควานหา คลำไปทั่ว คลำไปคลำมาลื่นหล่นหายลงไปเบื้องล่างอีก

หนามทั้งทิ่มทั้งแทง ไปตามตัว มีหนามอยู่อันหนึ่งแทงติดอยู่ตรงซอกคอ มันเจ็บจึงเอามือลูบๆ ดู คิดว่าไม้มันทิ่มคอ จึงดึงออกมา ที่ไหนได้ มันเป็นหนาม ยาวเป็นนิ้ว ที่ปักลึกลงไป

นี่…กูสร้างกรรมอะไรมาวะนี่ ถึงต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ กว่าตั้งตัวได้ ก็ระบมไปทั้งตัว

ข้าใช้มือคลำๆ หาอีโต้ ยังเป็นห่วงอีโต้กับไม้ไผ่ เพราะมันไม่ใช่ของเรา

ที่สุดก็เจอไม้ไผ่ มาลำหนึ่ง มันวางพาดอยู่บนหัวข้านั่นแหละ ที่มันชัน มันจึงเหมือนอยู่บนหัว มันค้างต้นไม้อยู่

ส่วนอีกอันกับอีโต้ควานหายังไงก็ไม่เจอ สงสัยหายลงไปข้างล่างนู่น จึงต้องปล่อยไปก่อน เพราะพงหนามมันอยู่รอบๆ กาย

ข้าเอาไม้เท้าจิ้มลงไปข้างหน้า มันมีแต่ความว่างเปล่า กวาดๆ ไปจึงรู้ว่าหลุดจากพงหนามนั้นมาแล้ว จึงค่อยๆ ไถตูดลงไปอีก

ปรากฏว่ามันลื่น และคงเป็นผาสูง ข้าลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นเสียงดังอั๊ก แล้วกลิ้งไหลต่อไป เสียงสนั่น ดังโครมครามแหกเหล่าไม้ใหญ่ หายลงไปเบื้องล่าง

นาทีนั้น ข้ายังจำได้สนิทใจว่า ขณะที่กลิ้งลงมาในความมืดหัวทิ่มหัวตำ ข้าเห็นรอยยิ้ม เกิดขึ้นในหัวใจ

มันเป็นยิ้มภายใน ที่แสนเป็นสุข มันฉีกออกมาทางผิวหน้า และภายใน มันไม่กลัวอะไรเลย แม้ความตาย

ขณะที่กระแทกไปกระแทกมา และคิดว่า นี่คงเป็นความรู้สึกครั้งสุดท้าย ที่จะมีต่อกายอันเป็นเรานี้ ต่อจากนี้ เราคงต้องจากกายไปสู่ชั้นพรหม ดังที่เราเคยเห็น

ใจมันหมดจากความหวาดหวั่น ทั้งๆ ที่กายยังเผชิญกับความเจ็บปวดที่กลิ้งและกระแทกขลุกๆๆๆ หล่นลงไปอยู่อย่างนั้น

นี่แหละ ใจประจักษ์ชัด ว่าเมื่อถึงคราวกายแตก ใจดวงนี้ ไปดีแน่นอน มันมั่นใจ และพร้อมจะไป

แต่มันไม่ตาย มันหล่นลอยลงมากระแทกพื้น แล้วกลิ้งขลุกๆๆ ลงไปเบื้องล่าง มันกลิ้งหายลงไปซักห้าหกสิบเมตร ก็ไปกระแทกกับต้นไม้ที่ขวางอยู่

ขาที่เคยผ่าตัด กระแทกเข้ากับต้นไม่อย่างจัง มันทั้งจุก และเจ็บข้า ลุกไม่ไหว นอนคุดคู้อยู่อย่างนั้น นับครึ่งชั่วโมง กว่าจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งได้

ข้ายิ้มออกมาในความมืด กูยังไม่ตายอีก แต่จุกและเจ็บปวดโคตรๆ นี่มันนรกขุมไหน ทำไมถึงมืดขนาดนี้

มีดอีโต้กับไม้เท้า ก็กลิ้งหล่นลงมากองอยู่ข้างๆ ข้าคว้าขึ้นมา เหลือไม้เท้าอันเดียว ข้าก็จะเอา ข้าจะไม่ทิ้งมัน

ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น โงนเงนไปหน้าที หลังที เซไปโดนต้นหนามงิ้วอีก หน้าอกมันกระแทกหนามเข้าไป เลือดนี้ชุ่มบอกไม่ได้เลย ว่านี่มันชุ่มด้วยเลือดหรือ ชุ่มด้วยเหงื่อ

ข้าตลกกับชีวิต จึงแหกปากร้องและเอามือฟาดไปที่ต้นงิ้วที่เป็นหนามนั่นอีก แต่เพราะความมืด มันคงฟาดไปผิดทิศ จึงกลายเป็นการฟาดอากาศที่ว่างเปล่า ส่วนปากก็แหกร้อง

เอ้า..เอาอีก เอากับกูให้พอ ไอ้เหี้ยยยย กูไปทำบาปทำกรรมอะไรใครมา ถึงต้องมารับกรรมขนาดนี้ ไอ้เย๊ดแม่ง..!!! มาเอาชีวิตกูไปเลย

ข้าบ้าไปแล้ว มันหลุดไปเลย แต่มีอีกความรู้สึก ตามดูตามรู้อาการเพี้ยนๆ นี้อยู่ และมันก็หัวเราะ ในอาการที่มันตามรู้ และมันก็ปล่อยให้อาการมันแสดงออกอยู่เช่นนั้น

ตัวความรู้สึกนั้น มันรับรู้ และดูแลอยู่เฉยๆ อย่างเด่นชัดในจิต ซักพักข้าก็หัวเราะและนั่งลง ตูดยังไม่ทันถึงพื้น เสียงปืนก็ดังลั่นสะท้อนก้องไปตามขุนเขา

ข้าสะดุ้งและหยุดกึ๊ก ตายห่า..!!! นี่มันพวกพรานหายิงสัตว์ มันคงซุ่มยิงสัตว์ อยู่ในความมืดข้างล่าง

และเสียงข้า ที่หล่นกลิ้งลงมาสนั่นหวั่นไหวปานนั้น พวกมันคงคิดว่าเป็นกระทิง และดักรอแอบยิงอยู่เบื้องล่างแน่

นี่มันซวยกี่ต่อวะนี่ จะแหกปากว่าตรงนี้เป็นคนก็ไม่กล้า เพราะว่า ที่อย่างนี้ คงไม่มีคนแน่ เกิดมันปอดแหกกลัวกันขึ้นมา มันเกิดระดมยิงสวนขึ้นมา เพื่อป้องกันตัวพวกมัน

แทนที่ข้าจะตายเพราะหล่นเหว อาจได้ตายเพราะกระสุนของพวกไอ้พรานบ้าพวกนี้ก็ได้ ยิ่งไอ้พวกผีข้างบน มันบอกว่า ข้าไม่รอดๆๆๆๆๆ อยู่ด้วย

ข้าจึงค่อยๆ ไถตูดลงไปด้วยความเงียบๆ ใช้ไม้เท้าจิ้มๆ คลำทางไป ตรงไหนเป็นเหว ไม้เท้าก็จะเจออากาศ

บางทีก็ลื่นหล่นพรวดลงไป ในโพรงทับสัตว์ประเภทงู งูอะไรก็ไม่รู้ มันดิ้นบิดไปบิดมา อยู่ใต้ตูด

แต่ตอนนั้นใจมันหลุดโลกไม่กลัวอะไรแล้ว นอกจากจะโดนซุ่มยิง เพราะความเข้าในผิด คิดว่าเป็นสัตว์ จากพวกพราน

ต้นไม้บางต้น จะส่งกระแสพลังงานมาหา จนขนลุกซู่ ข้าก็จะค่อยๆ ไต่เข้าไปหา ตามกระแส และกำหนดจิตแผ่เมตตา ให้กับทุกกระแส และทุกต้น ที่ข้าจับกระแสได้

มันมีเสียงเหมือนคนตบมือ รอบๆ และซ่าซ่านไปทั้งป่า ที่แสนมืดนั้น เสียงตบมือ และฮึมฮัมว่า รอด..รอดไม่รอด รอด….รอดไม่รอด

มันยังกะเชียร์กีฬากัน แต่ข้านี้ ไม่สนเสียง มึงจะแหกร้อง รอด..รอดไม่รอด ก็ช่างแม่มึง กูจะเอาตัวกูไปให้ถึงที่สุดแหละวะ

เสียงปรบมือ และเสียงเชียร์ มันลั่นกระหึ่มไปทั้งหัว ข้านั่งยองๆ ค่อยๆ ไถตูดไหลลื่นลงไปในความมืด

ที่สุด ข้าก็เห็นแสงสว่าง มันเป็นแสงแรก ที่โผ่ลขึ้นมาดุจอยู่ปลายอุโมงค์ ในความมืดนั้น

เมื่อข้ามองลงไปลิบๆ ข้ามองเห็น แสงไฟที่เขาติดตามถนน มันเป็นไฟเรียงกันเป็นแถว อยู่กลุ่มหนึ่ง มันมองเห็นต่ำลงไป

ตรงนั้น..คงเป็นถนนที่ตรงไป อำเภอ ศรีสวัสดิ์ ข้าจึงเอาทิศนั้น เป็นจุดหมาย ท่ามกลางความมืดที่ไร้ทิศ มีแต่ความมืดที่ดิ่งเป็นหุบเหว อยู่เบื้องหน้า

บัดนี้ ข้ามีทิศทางที่จะไปให้ถึงแสงแห่งปลายทางนั้นแล้ว แสงนั้น ทำให้เกิดพลังที่จะฝืนกำลัง ให้ก้าวต่อไป

คืนนี้โม้มาดึกมากโข ข้าเพิ่งจะเริ่มต้นเผชิญ กับแสง ที่ปลายอุโมงค์ แต่ทางไปสู่แสงนั้น นรกชัดๆ ขอบอก แต่เป็นวันต่อไปนะไอ้น้องๆ วันนี้พอก่อนแล้ว สวัสดี…ง่วงสุดๆ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ