เหตุแห่งอวิชชา …..เหตุปัจจุบันที่มีรูป ( ท่อน 4 ของการถามตอบเหตุแห่งอวิชชา )

เหตุแห่งอวิชชา …..เหตุปัจจุบันที่มีรูป ( ท่อน 4 ของการถามตอบเหตุแห่งอวิชชา )

808
0
แบ่งปัน

น้องๆ  เขาถามตอบกันเรื่อง เหตุเกิด จึงมีการคุยกัน ความว่า

>> ลูกศิษย์ 3 : จิตดวงแรก หรือ ที่เรียกว่าเรานั้น จะมีสิ่งที่ตามมาอีก 3 อย่างโดยธรรมชาติจิต คือ 1จิต 2 เจตสิก 3 รูป ส่วน 4 นิพพาน นั้นยกไว้ เพราะยังไม่ถึง จึงมีปรมัตถธรรม 3 ติดตามมา เริ่มจิตเป็นดวงรู้ อวิชชายังไม่เกิด เหตุเพราะ มีเจสิก เข้าไปปรุงแต่ง ใน สิ่งที่จิตได้กระทบ หรือ ผัสสะ เป็นปกติธรรมชาติ จิตย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำ จึงเรียก โลกิยะ เหตุนี้เอง จิตแรกเกิด มาพร้อมเจตสิก เมื่อกระทบด้วย ผัสสะ อวิชชาเกิดโดยการเข้าไปยึดถือโดยเจตสิกจิต สร้างเป็นภพ เป็นรูป เป็น อรูป ต่างๆ จึงขอสรุปแบบ ข้าพเจ้าโดยการพิจารณา คือ เหตุแห่ง อวิชชา คือ ผัสสะ ที่อาศัย เจตสิกของจิต ครับผม

แม้มีสติ หาก ขาดองค์ธรรมอื่นๆ ใน โพชฌงค์ หรือ มรรค8ก็ไม่พ้น อวิชชา ธาตุทั้ง 4 ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญแรกเริ่ม เจตสิกจิตนั่นแหละเหตุเริ่ม แล้วมาถือครอง ทั้ง อรูปและรูป

>> ลูกศิษย์ 2 : ก่อนที่จะมีเจตสิกจิต ก็มีเหตุอีกเพราะเจตสิกก็เป็นผลอ่ะ

>> ลูกศิษย์ 3 : แรกเริ่ม จิตเกิด เป็นดวงจิตขึ้น เมื่อจิตเกิดขึ้น ปรมัตถ์ จึงเกิดกับจิตมาด้วยคือเจตสิก เมื่อมีเจตสิก จิตต้องหาที่อาศัย แห่งภพคือรูปปรมัตถ์ ไม่ว่าจะรูปหยาบหรือรูปละเอียดก็จัดรวมเข้าในรูป จิตมีหน้าที่รู้ ส่วนเจตสิก ปรุงแต่งจิตให้รับรู้แล้วก็เข้าไปยึดในผัสสะที่จิตได้กระทบจิตจึงไปยึดเอาเป็นจิตอวิชชา ต้องมารู้มาแก้ที่ผัสสะโดยอาศัยธรรมพระพุทธองค์ คือ สติปัฎฐานบ้าง มรรคบ้าง ปฎิจสมุปบาทบ้าง และอื่นๆใน โพธิปักขยธรรม 37…..จิตแรกเกิดที่รู้ในอวิชชาจึงจะเป็นวิชชาจิต จึงเกิด ปรมัตถ์นิพพานขึ้นมา จึงจบกิจ ในอวิชชาทั้งปวง …..

<< พระอาจารย์ : ส่วนที่รัตนตรัยเข้าใจนั้น เป็นความรู้ในรูป ที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต เรียกว่า เป็นความรู้ธรรมที่อาศัยกาลเกิด

แรกเริ่มที่มีจิต ที่เขาว่าๆ มา เขาหมายความว่า มันมีเหตุมาแต่ก่อนนั้นแล้ว มันเป็นพลังงาน ในรูปของภวังค์จิต

เมื่อสืบต่อมาก่อร่างเป็นรูป ท่านจึงเรียกว่า รูปขันธ์นามขันธ์ ในรูปขันธ์นามขันธ์ มันมีรูปที่เป็นอดีต นับหลายๆ อสงไขยก็มี

รูปปัจจุบันก็มี รูปในอนาคต ก็มี

รูปเหล่านี้ อาศัย อวิชชาเป็นผู้กุมบังเหียน ไม่ใช่จิต อย่างที่เราเข้าใจ

จิตเกิดหลังอวิชชา อวิชชาเป็นเหตุให้มีดวงจิต ที่ท่านเรียกว่า จิตสังขาร

จิตสังขาร มีอวิชชา เป็นเครื่องกำเนิด เป็นแดนเกิด ให้จิตสังขารมี

ส่วนความเข้าใจของเรานี้ ที่เข้าใจว่า อวิชชามาทีหลัง เป็นเพราะเราเอา ปัจจุบันที่มีรูปแล้ว มาเป็นเหตุ

…………..ฝนตก มันโพสต์ไม่ไป ไล่ทีเดียวเป็นพรืดดดเลยดีกว่า

ที่ได้กล่าวถามนี่ เราถามเหตุแห่งการเกิด อวิชชา แต่ไม่ว่า ก่อนจะมีกาลหรือไม่มีกาล เหตุแห่งอวิชชา คือผัสสะ

จะอธิบายตัวอย่างธรรมในปัจจุบันอย่างป่าๆ ให้ฟัง เพราะเหตุแห่งอวิชชา ในแรกเริ่มมันเกินภูมิกันไปแต่ก็จะโม้ไว้ พอเป็นแนวทาง ว่าเหตุมันคือ ผัสสะอย่างไร ขอตอบไปตามคำถามตอบ ปัจจุบัน

ตามที่รัตนตรัยกล่าวว่า ..

จิตดวงแรกหรือที่เรียกว่าเรานั้น คือ มีจิต เจตสิก และรูป รัตนตรัยกล่าวมาอย่างนี้

เริ่มจิตเป็นดวงรู้ อวิชชายังไม่เกิด เหตุเพราะมีเจตสิกเข้าไปปรุงแต่ง ในสิ่งที่จิตได้กระทบ หรือผัสสะ

จึงเข้าใจกันว่า จิตแรกเกิด มาพร้อมเจตสิก เมื่อกระทบด้วยผัสสะ อวิชชาก็เลยเกิด โดยประมาณ…

เหตุแห่งอวิชาคือผัสสะน่ะถูก แต่ไม่ถูกโดยความหมายที่เข้าใจมา ข้าจะอธิบายเนื้อหาธรรมจริงๆ ให้ฟัง โดยไม่ต้องอ้างตำราเลยทีเดียว ..

เราจะกล่าวถึงรูปที่เราครองในปัจจุบันเลย

รูปนี้ มันอาศัยวิบากกรรมที่ได้สืบเนื่องกันมา เหตุของมันก็คือ อวิชชา ในวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาทนิยาม รูปนี้จึงเกิดสืบกำเนิด และอวิชชา มันก็มีมาของมันอยู่แต่ก่อนเก่าอยู่แล้ว ในดวงจิต วงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท จึงเกิดได้

เมื่อมีรูป ก็ย่อมมีอายตนะ อายตนะนี้ อาศัยผัสสะ เป็นเหตุให้เกิด เวทนา

อันเวทนานี้ มันเป็นอาการที่จบกระบวนการไปแล้ว คือรู้แล้ว เรียกว่าชาติ เพราะชาติมีนี่แหละ เวทนาทั้งหลายจึงมี เพราะมันรู้แล้ว จึงเรียกอาการรู้แล้วนี้ เป็นเวทนา เรียกว่ารู้ในเวทนา

เวทนานี้ ก่อนที่จะมาเป็นเวทนา มันอาศัยผัสสะเป็นเหตุ

เพราะผัสสะเป็นเหตุ อวิชชาจึงเกิดกำเนิดขึ้น

อวิชชาตัวนี้ มันเกิดขึ้นเสมอ เมื่อมีผัสสะ

อวิชชาตัวนี้ ก็คือ เวทนาที่เป็น อวิชา งงไม๊..

ทำไมเวทนาจึงเป็น อวิชชา เพราะหลัก ปฏิจจสมุปบาทกล่าว่า เมื่อผัสสะมี เวทนาย่อมมี

นี่..เป็นกฏ อิธิทัปปัจจยตาของมัน อาศัย สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ผัสสะมี เวทนาย่อมมี นี่เป็นกฏธรรมชาติ ธรรมดาของมัน

แล้วไฉน เวทนาจึงมาเป็นอวิชชาไปได้ ข้าจะแสดงให้ฟัง

รูปเรามันเป็นอาการของจิต ที่เกิดจาก อวิชชา เมื่อปรุงแต่งสืบต่อๆ มาเป็นรูปแล้ว การปรุงแต่งในวิถีเดิม มันก็คงเวียนเป็นวัฏฏะอยู่เช่นนั้นแหละ เพราะอวิชชาเป็นเหตุ

เมื่อรูปนี้ เป็นอาการแห่งจิต ที่ประกอบปรุงแต่งกันมา อายตนะที่เกิดแต่รูป คือช่องต่อแห่งผัสสะ

เมื่อผัสสะ ปุ๊บ เวทนาเกิด เวทนาตัวแรกที่ผัสสะนี่แหละ คือตัวอวิชชา

ที่มันเป็นตัวอวิชชาก็เพราะว่า เมื่อเกิดการผัสสะแล้ว ในที่นี้คือทางอายตนะ ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ มันไม่รู้ว่าอะไร ความไม่รู้นี้ คืออวิชชา

เมื่อเกิดอวิชชา อันเป็นเวทนาตัวแรก ทำไมถึงเรียกว่าตัวแรก เหตุเพราะมันมีรูปมาก่อนแล้ว มันอาศัยรูปที่มีอายตนะ เกิดผัสสะ เวทนาจึงเกิด

เพราะความไม่รู้แห่งเวทนาตัวแรก ว่าผัสสะอะไร กระบวนการแห่งนามขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เกิดกระบวนการปรุงขึ้นมา เป็น เวทนา

กระบวนการเหล่านี้ นี่แหละ เรียกว่า เจตสิก

เพราะเจตสิกเข้าไปเป็นกระบวนการปรุงแต่ง เมื่อสำเร็จแล้ว มันจึงถูกส่งมาเป็น เวทนา

คือรู้แล้วว่า มันคืออะไร ซึ่งก็แบ่งแยกออกไปอีก ทั้งรู้และไม่รู้ คือที่รู้ก็เพราะมันมีสัญญาสมมุติ ที่ไม่รู้ก็เพราะ ยังไม่มีสัญญาสมมุติ

นี่…เรียกว่า เวทนา เป็นอาการหนึ่งของอวิชชา ที่โดนใส่โปรแกรมสมมุติเรียบร้อย คือรู้และไม่รู้ ทั้งรู้และไม่รู้ ต่างเป็นสมมุติด้วยกันทั้งคู่ เรียกว่า ชาติ..

ชาติที่เกิดกำเนิดออกมานี้ คือรู้แล้ว เป็นอาการของเวทนา ที่วิญญาณอาศัยผัสสะ ทางอายตนะ ผ่านนามรูป เพื่อรู้ว่า อะไรเป็นอะไร ในรูปแบบแห่งการสมมุติ ในแต่ละอัตภาพ ที่มีรูปนาม สืบๆ ต่อๆ กันมา

เมื่อเวทนาเกิดมาแล้ว สมบรูณ์แล้ว รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบ เมื่อโดนผัสสะเป็นเวทนา

มันก็ไหลไปตามกระแสโลก และกระแสตนเอง หากกระแสตัณหามาทางก่อ ก็เป็น สมุทัย

หากได้รับการอบรมใจ มีสติใคร่ครวญ กระแสที่ไหลก็มาทางมรรค

นี่..ก็เข้าสู่ตัวหลัก อริยสัจอีก

ไหลไปทางก่อ ก็เป็นสมุทัย ผลก็คือ ทุกข์ต่อเนื่องสืบไปในวัฏฏะ

หากมีสติ ทวนการไหล มีสติยับยั้งชั่งใจในแนวทางแห่งศีล ก็เป็นมรรค

ผลก็คือ นิโรธะ คือการดับ ในกระแสที่เชี่ยวนั้น ให้ทุเลาเบาบางจางคลายลงมา ตามกำลังแห่งจิตและวิญญาณที่ได้สะสม รับการอบรมมา

ความพ้นไปเสียจากทุกข์ ย่อมเปิดทางเรืองรองด้วยแสงสว่างแห่งปัญญาญาณ แห่งความเป็นพุทธะ ที่พ้นแล้วเสียจากอำนาจของอวิชา

นี่..เราจึงต้องมาเรียนดูรู้กัน

เที่ยงนี้ ธรรมมันหนักหน่อย แค่อธิบายเหตุแห่งอวิชชา ในรูปปัจจุบัน ซึ่งคงไม่ได้พบเจอกันในตำรา

ที่จริงตำราท่านก็ชี้แนวทางมาแบบนี้ เป็นแต่เรา ไม่เข้าใจความหมาย และกาลที่มี

เพราะตำราทั้งหลาย มันก็จดออกไปจากใจดวงนี้ ไม่ได้ไปจดออกมาจากที่ไหนๆ

ขอให้เราเข้าถึงธรรมจริงๆ เหอะ เรื่องแบบนี้ เข้าใจได้ทุกคน เพราะมันมีตัวตนและคำตอบซ่อนอยู่ภายใน ที่เต็มไปด้วย อวิชชาแห่งเราทั้งหลาย ที่เป็นเจ้าของอยู่

เพียงแต่ความเข้าใจมันต้องมีพื้นฐานการเรียนรู้และการปฏิบัติมาบ้าง มันจึงพอจะเห็นช่องทาง หากตู่ๆมาทำความเข้าใจในอักษรภาษา เราก็คงได้แค่คำด่าออกมาว่า

ไอ้ห่า…พูดอะไร กูไม่เห็นจะรู้เรื่อง เหี้ยยยเอ้ย สาดดดดด…. มันไม่โทษตัวกูที่ไม่รู้เรื่อง มันโทษคนโม้ ว่าโม้ไม่รู้เรื่องไว้ก่อน นี่แหละ ผัสสะแล้วอวิชาเกิด แม่ง..สาดดดดดดเอ้ยยย….อวิชา..!!!
ขอสาธุโมทนา เที่ยงนี้ ขอสวัสดีมีชัยกับทุกท่าน หวัดดี…

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง จิตไร้การอบรม…ย่อมเป็นโทษ ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง