คุยกันเรื่อง วัฏฏะ..

คุยกันเรื่อง วัฏฏะ..

952
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : โมทนาบุญ สาธุ…ครับ ขอน้อมนมัสการพระอาจารย์… วันนี้ได้อ่านข้อธรรมในท่อน 3 ต่อ…ดูตื่นเต้นกับเรื่องราวที่ลึกลับ ซ้อนๆ กันเป็นสายใยของยางเหนียวเกี่ยวพันของสัตว์ โลกที่เกิด-ตายๆๆๆๆ..ร่วมทุกข์สุข เสมือนหนึ่งว่าจะไม่มีทาง

คุยกันเรื่อง วัฏฏะ..เสมือนหนึ่งว่าจะไม่มีทางจะสิ้นสุด เป็นวัฏฏะหมุนไปๆๆๆๆ อ่านพบเหตุของการต่อต้านและยับยั้งสายใยยางเหนียวที่ พอจ. แสดงให้เห็นแล้ว ช่างเป็นบุญใหญ่แล้ว..

แม้จะสำทับว่า จิตกาย ณ ปัจจุบันกาลมันไม่เอา แต่กายสังขารสัญญาเก่า มันจะเอา..ก็เข้าใจเห็นว่า ในทุกๆ การกระทบของผัสสะไม่ว่า จะผ่านอายตนะใด  ทั้งในสภาวะของจิตปกติกับภวังค์จิต การประคองสติให้มั่นคงด้วยหลักโยนิโส  ในทุกช่วงเวลาของกาลปัจจุบัน นั้นสำคัญมาก

ก็ให้นึกถึงสัตว์โลก..โดยทั่วไป ที่ไม่รู้เห็น ความน่ากลัวของสายใยยางเหนียวของ
วัฏฏะที่จะนำพาหมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเผลอจิตเข้ายึดทุกๆ อาการกระทบปรุงแต่งแล้ว ขอนมัสการ ครับ

<< พระอาจารย์ : คำปรารภของ Chaiyapitch Khoosirirat นั้น ที่แสดงมา ถูกต้องตามนั้น สายใยแห่งกลไกวัฏฏะ มันดำเนินหน้าที่ของมันไปตามหน้าที่แห่งวิบากมัน เราไปห้ามก็ไม่ได้ ไปเป็นเจ้าของ ก็ไม่ได้ มันเป็นของมันเช่นนั้น

เราจะเข้าใจกระบวนการของมันไหม หากเราไปเป็นเจ้าของ เข้าใจว่าเราเป็น เราย่อมสร้างเหตุเพื่อก่อวิบากต่อ ไปในกระแส เมื่อตกไปในกระแส เรายอมหนีจากกฏแห่งวิบากวัฏฏะไม่ได้

นี่..เพราะเราไม่รู้เท่าทันแห่งกระแสวัฏฏะ ที่มันมีที่มันเป็น ผีสาวผู้นี้ เธอตกไปในกระแสแห่งอุปาทาน ยึดคำมั่นสัญญา ของผู้ชาย ปากพล่อยๆ แต่เธอยึดมั่น และเป็นความหวังสูงสุดแห่งจิตใจ ที่ได้คาดหวัง

อีกฝ่ายหนึ่งพล่อยๆ ไม่ถืออะไรจริงจัง แต่อีกฝ่ายจริงจังเฝ้าระวังคำพล่อยๆ นั้นด้วยชีวิต นี่..ผลรับแห่งวิบาก ในจึงต่างกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รับกันไป ตามตัวตนที่ยึดที่หวัง ตนเป็นผู้รับผู้เสวยทั้งนั้น ไม่ใช่ใคร

ตรงนี้ ผู้ที่เห็นกลไกแห่งวัฏฏะ จะมองเห็นกระแสใจ ที่มันน่ากลัว ในเรื่องราว แห่งผีที่เล่า จะเห็นว่า ข้าไม่ต้องการ แต่กลไกแห่งอุปาทานของจิต มันต้องการ ที่หนูลักษ์เคยถามว่าเราจะ ละความผูกพันที่มันหมุนเวียนเป็นไปเช่นนี้ได้อย่างไร

หากเข้าใจเรื่องที่เล่านี้ จะเห็นว่า เรา..ตัดได้ด้วยกำลังแห่งสติ ที่มีศีลคือความละอายชั่วกลัวบาป เป็นที่ตั้ง กายและกลไกของมัน มันก็ทำหน้าที่ของมันไปเช่นนั้น

เรา..พึงสร้างสติ และโยนิโส ให้กับใจเรา ว่าอะไร ควร อะไรไม่ควร ในที่นี้ ใจข้ามันมีความละอายต่อความเป็นเพศบรรพชิตสูง ความละอายนี้ มันเป็นปกติแห่งใจ ที่ได้บวชมาแล้วธุดงค์

 

การธุดงค์ก็คือ  การลดละกิเลสใจ หากธุดงค์แล้วยังต้านกำลังกระแสกามราคะไม่ได้ การธุดงค์นี้ ก็จะโมฆะ เพราะเหตุนี้ สติจึงมีมั่นคง ที่สติมั่นคงเพราะเกิดจากการสำรวม ในเพศนักบวช ที่สำรวม ทำให้เป็นใจที่มีศีล

 

ศีลมันอาศัยใจที่สำรวม ความสำรวมไม่ใช่การอยู่นิ่งๆ สงบเสงี่ยมดั่งใครเขาเข้าใจ

ความสำรวมนี้ เกิดจากใจที่มีสติ

ใจที่มีสติเกิดจากการโยนิโส

ใจที่โยนิโส เกิดจากความศรัทธาในธรรม

ใจที่เกิดความศรัทธาในธรรมเกิดจากการเชื่อฟังธรรม.. แห่งคำสัตบุรุษ

เพราะเหตุนี้ ใจจึงเป็นศีล ศีลนี้ จึงมารักษาตัว ให้รอดพ้นจากการรุกราน ของสรรพสิ่ง ที่เข้ามาผัสสะ มันมีสติที่ยับยั้ง และลิขิตหนทางแห่งการดำเนินใจได้ นี่เรียกว่า หลักอริยสัจ

ใจที่ผัสสะแล้ว มันเลือกที่จะดำเนินมาทางมรรค คือไม่ยอมไหลตกลงไปตามกระแส ที่หมุนไปตามเหตุและปัจจัย

หากเป็นใจที่ไหลวนเข้าไป ตามกระแสที่เกิด นี่เรียกว่า สมุทัย ผลแห่งใจก็คือ ต้องทุกข์ต่อไปในกระแสแห่งวัฏฏะ มันจะเวียนและผูกพันกันไป ไม่รู้จบ

นี่..การแหกวงล้อแห่งกระแส มันต้องใช้กำลังใจสูง พวกเรา เขามาท้าที่จะเอากันหน่อยเดียว ใจก็ไหลกระโจนเข้าไป ที่จะร่วมวงสมคบกับกระแสราคะซะแล้ว

เป็นเรา ต้านกันไหวหรือ แค่ถูกใจ กับไม่ถูกใจ เราก็ไหลตามไปในกระแสซะแล้ว แล้วเรา..ป่าวประกาศกันทำไม ว่าใจเรานี้….อยากไปนิพพาน…!!!

หวัดดีตอนเที่ยงกันอีกบท…คุคุคุ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ผีจะเอาทำผัว……ท่อน 3 สุดท้าย ณ วันที่ 24 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง