<<<< ศิษย์ถาม : กราบสาธุธรรมเจ้าค่ะ สรุปว่าไอ้ตัวรู้นี้ก็คือกา
ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
อย่างนี้ใช่หรือป่าวค่ะ พระอาจารย์ กราบสาธุค่ะ
<<<< พระอาจารย์ตอบ : จิระนันท์ สิโรจน์รังสี การตามดูตามรู้นี้ เป็นธรรมขั้นเด็กน้อยอยู่
แต่เราต้องเริ่มต้นที่ตรงนี
ตราบใดยังมีการกระทำ ผลแห่งวิบาก ก็ย่อมเจริญตัวได้อยู่ แม้ว่าจะตามดูตามรู้ก็ตามเห
<<<< ศิษย์ถาม : กราบเรียนพระอาจารณ์ขอรับ กระผมสงสัยในคำว่าจิตก็ไม่ใ
แล้วสิ่งใดที่เข้าไปรู้ในมร
หากไม่ใช่ตัวจิตเองที่ถึงกา
ที่เคยมีอวิชชาครอบคลุมจิตไ
กราบเรียนพระอาจารณ์ขอรับ
<<<< พระอาจารย์ตอบ : รัตนตรัย คุ้มครอง…
ตัวรู้ มรรคจิต ผลจิต วิมุติจิต ก็คือตัวสางตัวเองในอวิชานั
สิ่งที่ไม่รู้ก็เกิดจากมัน สิ่งทั้งหลายที่รู้ ก็เกิดจากมัน
ตอนไม่รู้มันก็สร้างสมมุติข
เมื่อสางสมมุติ สมมุติทั้งหลายที่สร้างมายึ
ส่วนความรู้ทั้งหลายที่มีคว
จิตนี้ เป็นอาการของอวิชา เรียกว่าจิตสังขาร มันปรุงแต่งได้ด้วยอวิชา ไม่ใช่อยู่ๆมันจะเกิดเอง มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิดเช่น
เมื่อถึงกาลดับ มันก็อาศัยเหตุปัจจัยดับเช่
จะมีเราหรือไม่มีเรา มันก็ดับของมันอยู่อย่างนั้
(พอดีฝนตกพายุแรง พัดเรื่อจม จึงไม่ได้อธิบายลึกลงไปของ รัตนตรัย ธรรมมันเลยสะดุดซะ )
แต่สรุปได้ง่ายๆ ว่าตัวรู้ทั้งหลายที่เข้าไป
จะมีผู้รู้หรือไม่มีผู้รู้ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เพียงแต่อาการของมันอย่างนั
รู้ทั้งหลายมันเป็นอาการหนึ
รู้ทั้งหลายที่เรารู้ๆกันอย
กระแสแห่งสมมุติมันท่วมใจ สมมุติทั้งหลาย มันคือความจริงในความรู้สึก
และตัวตนก็ย่อมออกจากสมมุติ
คำว่าตัวรู้นี้ มันรู้ไม่เท่ากัน ตราบใดที่เรายังไม่กระจ่างแ
มันมองไม่เห็น และจะไปรู้ว่า การแสดงเป็นผู้รู้นั่น ก็ยังมีผู้ดู กำลังดูผู้รู้อยู่ แต่สติมันระลึกได้ไม่พอ มันจึงไม่รู้ว่า ยังมีผู้ดูที่อยู่ลึกเข้าไป
ฉะนั้น คำว่าผู้รู้นี้ ไม่ว่ากำลังแห่งปัญญาจะสอดส
คำว่ารู้ซ้อนรู้นี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้ซ้อนรู้
เมื่อกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่ง
นี่..มันเหมือนรู้อยู่เบื้อ
แต่ตัวมันเอง มันไม่รู้ ว่าสิ่งที่ถูกรู้ เกิดจากตัวมันเอง
มันก็เลยกลายเป็นผู้รู้ อยู่ไม่มีวันจบ
คำว่า..เราเพียงแต่ปล่อยรู้
ตราบใดที่ยังมีรู้ ตราบนั้นภพเกิดขึ้นเสมอ และกระบวนการนี้
จะมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของแห
รู้นี้ ก็อย่างหนึ่ง สติก็อย่างหนึ่ง สมาธิก็อย่างหนึ่ง ปัญญาก็อย่างหนึ่ง วิมุติก็อย่างหนึ่ง
แต่ละอย่างต่างวางอุเบกขาซึ
สติก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ต่างล้วนเป็นสมมุติที่อวิชา
และสิ่งที่สร้างนี้ มันปลดปล่อยตัวมันเอง เมื่อถึงที่สุด อาการต่างๆจึงวางตัวเป็นอุเ
ทั้งๆที่ อาการทุกอย่าง มันก็ยังมี เพราะโดนสร้างมาให้มีหน้าที
จะบอกว่าเป็นผู้รู้ก็ไม่ได้
เพราะรู้ทั้งหลายนี้ มันก็ไม่มี ที่มี มันเกิดจากสมมุติ
ที่อาศัยนามรูป เกิดวิญญานรู้ ปรุงแต่งเป็นจิตสังขาร
อาศัยอวิชา เป็นเหตุแห่งสภาวะทั้งหมด
เมื่ออวิชาแตก จิตสังขารก็แตก จิตสังขารแตก วิญญานก็แตก
วิญญานแตก นามรูปก็แตก มันแตกกระจายลงไปเรื่อยๆ
คำว่าแตกนี้ คือ อุปาทานในสมมุติทั้งหลาย แตกกระจายจนโลกธาตุแห่งความ
รู้นี้ก็คือ อุปาทานแห่งอวิชา ที่มันยึดรู้ตามกระบวนการไม
เมื่อมันย้อนเข้ามาหาตัว รู้ทั้งหลาย แท้จริงแล้วมันไม่มี ที่มี มันเกิดจากเหตุและปัจจัยที่
เพราะเหตุปัจจัยมี รู้ทั้งหลายก็เลยมี เมื่อรู้ทั้งหลายมี อวิชาก็เลยมี อวิชามี การปรุงแต่งแห่งดวงจิตก็เลย
การปรุงแต่งมี วิญญานก็เลยมี เมื่อวิญญานมี สิ่งที่ผัสสะผ่านอายตนะที่เ
เมื่อผัสสะมี การปรุงแต่งในนามขันธ์แห่งว
รู้นี้จึงเป็นที่มาของเวทนา
เมื่อมีตัวตน รู้ทั้งหลาย ก็วางไม่ได้ ที่วางกันได้
เพราะมีตัวตนเข้าไปเป็นเจ้า
ที่วางอาศัยการมีตัวตนเข้าไ
สมมุตินี้ มาจากอวิชา อวิชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้ง
ต่อมรู้นี้ มีอยู่ที่ไหน ที่นั้นแล..ย่อมมีภพ นี่..ในพรรษาที่ 16 หลวงตามหาบัว ท่านเข้าถึงตรงนี้
และท่านปล่อยรู้นี้ไม่ได้ ถึงแปดเดือน ทั้งๆที่รู้ทุกอย่างปล่อยทุ
แต่ทุกอย่างที่รู้ที่วาง มันต่างเป็นภพทั้งสิ้น เพราะมีกูวางและกูรู้เป็นต้
โม้กันเล่นๆยามดึก คืนนี้สวัสดี..
ถาม-ตอบในคอมเม้นท์ : พระธรรมเทศนา เรื่อง ธรรมแห่งความหลุดพ้น…ธาตุ
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ ภิกขุณ พุทธสถานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี 21 สิงหาคม 2557